คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจจะเคยเห็นลูกนอนบิดตัว ซึ่งทารกนอนบิดตัวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ และจะเกิดจากอาหารการกิน รวมถึงสามารถเกิดได้ทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน&nbsp;<hr>ทารกนอนบิดตัว<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2835/1b3d1310-35a8-475f-ae02-9cacece72cf6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ทารกนอนบิดตัวปกติหรือไม่?ทารกนอนบิดตัว เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะการนอนบิดตัวก็คล้ายๆกับผู้ใหญที่บิดขี้เกียจตอนที่เพิ่งตื่นนอน ซึ่งแพทย์👨&zwj;⚕️มองว่าเป็นการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อ&nbsp;สาเหตุที่ทำให้ทารกนอนบิดตัวทารกนอนบิดตัวนั้นอาจมีสาเหตุจากการให้ทานนม🍼เยอะเกินไป หรือ overfeeding จะรู้ได้ว่าให้ทารกทานนมเยอะเกินไปเมื่อ ทารกมีการแหวะนมบ่อยๆ และมีการบิดตัวไปมาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากความไม่สบายตัว ในบางรายอาจเป็นไข้ ก็ต้องรีบพาพบแพทย์โดยด่วนนะคะ หรือ ทารกมีเสียงร้อง😭ผิดปกติ หรือ ทารกอาจร้องเสียงครืดคราดในลำคอ เมื่อท้องอืดจากการได้รับนมมากไปค่ะ<hr>การบิดตัวของทารกจากอาการโคลิก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2835/59d8ea3f-4586-43b4-9aa3-b68e2248f18d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">อาการปวดบิดตัวของทารกที่สามารถพบได้บ่อยๆ คืออาการที่เกิดจากโคลิค😭 &nbsp;ซึ่งหลายๆคนเคยได้ยินกันมาแล้วว่าคือการที่เด็กจะร้องไห้หนักมาก และร้องไห้เป็นเวลา ซึ่งจะเกิดในเด็กที่มีอายุ 3 สัปดาห์ - 3 เดือน ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น และหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งจะมีอาการร่วมดังต่อไปนี้✨ร้องไห้หนักติดต่อกัน 3 ชั่วโมง/วันขึ้นไป&nbsp;✨ร้องไห้ติดต่อกัน 3 วัน/สัปดาห์ และอาจจะเป็นนานมากกว่า 3 เดือน✨มีอาการร้องไห้แผดเสียงเหมือนว่ากำลังโมโห💢✨ร้องไห้แทบขาดใจ✨มีปฏิกิริยางอขาเข้าหาหน้าท้อง✨งอตัว✨กำมือแน่นคล้ายจะทำร้ายตัวเอง👊✨มีอาการบิดตัวไปมาดูไม่สบายตัว<hr>วิธีการรับมือเมื่อลูกมีอาการโคลิค<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2835/189420b7-6ca8-4f64-ada8-27f8360436bc.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨คอยปลอบและอุ้มลูกอย่างใกล้ชิดเมื่อลูกร้องโคลิค✨ไม่ควรให้นม🍼ปริมาณมากเกินไป✨อุ้มให้ลูกเรอทุกครั้งเพื่อไล่ลม💨✨หมั่นดูว่าผ้าอ้อมเต็มหรือไม่และเปลี่ยนให้บ่อยๆ✨ดูสภาพอากาศว่าร้อน☀️หรือหนาวเกินไปหรือเปล่า✨เรื่องของนมที่คุณแม่ดื่มตอนให้นมบุตร✨หากลูกกินนมวัว🥛 หรือนมถั่วเหลืองแล้วแหวะนม ถ่ายเหลว ผื่นขึ้น นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกร้องโคลิคทั้งนี้ทั้งนั้นหากลูกยังคงมีอาการปวดบิด ร้องไห้นานจนหน้าแดง มีไข้ มีการหายใจผิดปกติ หรือมีสีอุจจาระที่เปลี่ยนไป ก็ควรจะพาลูกไปหาหมอ👨&zwj;⚕️โดยด่วนค่ะ

สาเหตุที่ทารกนอนบิดตัว

เมื่อเกิดมา กล้ามเนื้อคอของทารกจะค่อยๆ มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ พออายุครบ 3 เดือนกล้ามเนื้อคอก็จะเริ่มแข็งแรงดี วันนี้เราจะมาดูว่าจะมีวิธีอย่างไรบ้างที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาให้กล้ามเนื้อคอของลูกแข็งแรงเร็วขึ้นกันค่ะ<hr>พัฒนาการกล้ามเนื้อคอ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2250/d923d252-806d-4224-b3c2-852cede5ecf9.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">💖อายุ 1 เดือนเมื่ออายุครบ 1 เดือน เนื่องจากกล้ามเนื้อคอยังไม่แข็งแรงพอ ทารกจะยกศรีษะได้เพียงชั่วขณะ ดังนั้นช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ควรอุ้มลูกน้อยอย่างระมัดระวัง โดยคอยประคองช่วงคอทุกครั้งนะคะ🙂&nbsp;💖อายุ 2 เดือน&nbsp;เมื่ออายุครบ 2 เดือน ทารกจะสามารถนอนคว่ำ และจะสามารถยกศีรษะชันคอได้ประมาณ 45 องศาค่ะ💖อายุ 3 เดือนในเดือนนี้ทารกจะนอนคว่ำ และสามารถชัดคอได้ประมาณ 90 องศา&nbsp;💖อายุ 4 เดือนลูกน้อยจะสามารถชัดคอได้นานขึ้น และสามารถใช้แขนยันตัวขึ้นได้ กล้ามเนื้อคอ ไหล่ หลัง และสะโพกมีความแข็งแรงขึ้น✔️💖อายุ 5 เดือนขณะนอนคว่ำ ลูกน้อย👶จะสามารถใช้มือยันตัวขึ้นโดยที่ข้อศอกเหยียดตรงได้ หากคุณพ่อคุณแม่จับลูกน้อยให้อยู่ในท่านั่ง คอของลูกน้อยจะไม่พับและจะสามารถตั้งศีรษะตรงได้💖อายุ 6 เดือนลูกน้อยจะสามารถโน้มตัวไปข้างหน้าและใช้มือยันขณะนั่งได้แล้ว<hr>ลูกน้อยคอแข็งช้าเป็นอะไรไหม?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2250/c787fe1b-ddbc-464f-bc1e-4e3a4675dd55.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">คุณพ่อคุณแม่อาจพบว่าลูกของตนเองคอแข็งช้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าลูกน้อย👶อาจมีพัฒนาการที่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น หรือ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาด้านกล้ามเนื้อ หรือ ระบบประสาท เพื่อให้แน่ใจคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบนะคะ✔️คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์เมื่อลูกน้อยไม่สามารถยกศีรษะให้พ้นพื้นได้แม้จะอายุครบ 3 เดือนแล้ว หรือ เมื่อจับลูกนอนคว่ำ ไม่มีการชันคอ หรือยกศีรษะขึ้น เมื่ออายุครบ 4 เดือน<hr>วิธีสร้างกล้ามเนื้อคอให้แข็งแรง<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2250/b6cdfb32-881f-47de-b364-65ea68773198.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨คุณพ่อและคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นได้โดยการอุ้มพาดบ่าบ่อยๆ ลูกน้อยจะได้ชัดคอเพื่อมองไปรอบๆ&nbsp;✨นำโมบายมาแขวนไว้เหนือเตียงที่ลูกน้อยนอน✔️หรือ สามารถยกโมบายให้ลูกน้อยใช้มือคว้า ลูกน้อยจะยกตัวขึ้นระหว่างที่พยายามคว้า✨คุณพ่อคุณแม่สามารถเรียกชื่อและพูดคุยกับลูกน้อย👶บ่อยๆ ลูกน้อยจะหันมาตามเสียงเรียกหรือเสียงคุย✨ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ และลองเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกน้อยก็จะทำให้ลูกน้อยเคลื่อนไหวตาม และอารมณ์ดีด้วยค่ะ🙂

ฝึกกล้ามเนื้อคอให้แข็งแรง! ฮึบ!

เมื่อมีทารกเกิดใหม่แน่นอนว่าทุกคนในบ้านต่างก็ดีใจ และก็อยากชื่นชมความน่ารักของน้องใหม่ พร้อมทั้งต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งในบางครั้งเรา คนในครอบครัว หรือ เพื่อนที่มาเยี่ยมนั้น ก็อาจเผลอทำอะไรที่ไม่ควรทำกับทารกไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งวันนี้เราจึงได้นำข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำกับทารกมาฝากกันแล้วค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>ทำแบบนี้อันตราย!<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3070/12df3307-972d-43a9-9df7-3f44238d19fa.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ไม่ควรจับทารกเหวี่ยงคุณพ่อบางท่านอาจจะชอบจับลูกน้อยเหวี่ยงไปมา เพราะลูก👶ก็ดูสนุกสนานหัวเราะใหญ่ ซึ่งที่จริงแล้วการจับทารกเหวี่ยงนั้นมีความอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะหากไปจับในบริเวณแขนหรือขาแล้วจับเหวี่ยง จะทำให้ลูกเสี่ยงกระดูก หรือ ข้อต่อหักได้🦴 ดังนั้นอย่าจับลูกเหวี่ยงจะดีที่สุดนะคะไม่ควรเขย่าตัวทารกบางคนเมื่อลูกร้องไห้มากๆ และไม่รู้ว่าจะให้ลูกหยุดร้องไห้ด้วยวิธีไหนดี จึงเขย่าตัวทารก ซึ่งการเขย่าตัวทารกนั้นมีความอันตรายกว่าที่คิด เพราะมีผลให้เส้นเลือดในดวงตา👀หรือสมอง🧠ฉีกขาดได้ รวมถึงอาจทำให้ประสาทตาของทารกหลุดลอก ยิ่งกว่านั้นแผลที่เกิดขึ้นในสมองของทารกอาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้ ดังนั้นเราไม่ควรจะไปเขย่าตัวทารกนะคะ&nbsp;<hr>ข้อห้ามที่ไม่ควรทำกับทารก<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3070/8508ebb1-54c6-4894-b16d-4ac9b32de99c.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ไม่ควรให้ทานอาหารเสริมก่อนอายุ 6 เดือนเนื่องจากว่าระบบกระเพาะอาหารของทารกนั้นยังเจริญไม่เต็มที่ดังนั้นเมื่อทานอาหารเสริม🍲ก็จะทำให้เกิดอาหารย่อยไม่ได้ และอาจทำให้ลำไส้อุดตัน และลำไส้เน่าตามมาได้นั่นเองค่ะไม่ควรจุ๊บปากหรือหอมแก้มทารกเหตุผลนั้นเป็นเพราะ เราอาจเป็นตัวนำพาเชื้อโรค🦠ที่ไม่แสดงอาการในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดีกว่า ไปให้กับทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าได้นั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด มือเท้าปาก เริม หัด อีสุกสีใสและอื่นๆ อีกโดยควรรอให้ทารกอายุครบ 3 เดือนจะดีกว่านะคะ &nbsp;ไม่ควรดัดขาทารกอาจมีความเชื่อที่บอกว่าจะต้องดัดขา🦵ทารกเพื่อป้องกันขาโก่ง หรือไม่ควรให้ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เพราะเชื่อว่าจะทำให้ขาโก่ง ซึ่งความจริงแล้วการดัดขาทารกอาจทำให้ทารกเจ็บ และการดัดขาเองก็ไม่สามารถสร้างแรงกดกับกระดูกขาได้ แถมการใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็ไม่ได้ทำให้ขาโก่งด้วย<hr>ระวังสิ่งเหล่านี้<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3070/776d10c5-4aab-4acc-bdfd-16caf4193367.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ไม่ล้างมือก่อนจับทารกการจับทารกทั้งๆที่มือ✋ยังไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคต่างๆแพร่สู่ทารกได้ ดังนั้นก่อนสัมผัสก็ควรจะล้างมือ รวมถึงคอยล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆของทารกอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่างๆค่ะ&nbsp;ไม่ควรพาออกนอกบ้านก่อนอายุ 3 เดือนเนื่องจากระบบต่างๆของทารกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ รวมถึงภูมิคุ้มยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพาน้องออกจากบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ🦠 ต่างๆ (ยกเว้นไปโรงพยาบาลตามนัดของคุณหมอ)ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อทารกโดยเฉพาะเพราะว่าผิวของทารกมีความบอบบางมากดังนั้นการใช้สบู่ แชมพู🧴 หรือของต่างๆของผู้ใหญ่ อาจทำให้มีสารตกค้างและเกิดอาการแพ้ได้ค่ะ&nbsp;เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อระวังต่างๆ ทราบอย่างนี้แล้วก็อย่าลืมบอกคนรอบข้างเพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยกันนะคะ&nbsp;

ระวัง! แบบนี้ไม่ควรทำกับทารก!

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2811/02b963da-73a5-46ef-aa16-b55346fac01c.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ&nbsp;หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ&nbsp;คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ&nbsp;<hr>วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้น<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2811/b2348de6-6aa2-40cf-8391-07d3ea8352e9.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ&nbsp;โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ&nbsp;ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆ<hr>อยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2811/8a8ddc4c-7c2c-4bee-8d34-f7bc23f7c0aa.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">วิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ&nbsp;ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ&nbsp;

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทารกในครรภ์มีการก่อตัวของของระบบประสาทและสมอง🧠ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ในครรภ์ และเริ่มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุครรภ์ โดยคุณพ่อคุณแม่👫สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอดของลูกได้เลยค่ะ นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจจะตื่นเต้นและรอวันที่ได้เจอหน้าลูกน้อย ดังนั้นทางเราจึงได้รวบรวมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นการพัฒนาสมองของทารกเพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยมาให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะ<hr>การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิสมบูรณ์ ไข่กับสเปิร์มจะสร้างเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนในท้องของคุณแม่🤰ก็จะเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างอวัยวะรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มจำนวนและขนาดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยประสาทเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่👫ควรเริ่มกระตุ้นการพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ไปจนถึงอายุ 2 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะใส่ใจเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาของลูก<hr>ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดีการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีนั้นมักเกี่ยวข้องกับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ การพัฒนาการของวัยทารก รวมไปถึงการพัฒนาของระดับสติปัญญา🧠✨และการเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงหลังคลอดมีดังนี้พันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่พันธุกรรมของลูกน้อยนอกจากหน้าตา👶 สีผิว และสีผมที่ได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว ยีน🧬ทั้งหมดในร่างกายยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทด้วยการรับประทานอาหารและสารอาหารที่คุณแม่ได้รับในขณะตั้งครรภ์ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ต้องใส่ใจกับสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสารอาหารต่างๆ🥗 ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะส่งผลกับทารกในครรภ์&nbsp;ระบบการทำงานของร่างกายคุณแม่เสียงการทำงานของหัวใจ🫀 เสียงการบีบตัวของลำไส้ หรือเสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิตล้วนมีความสำคัญ เพราะลูกน้อยในท้องของคุณแม่สามารถได้ยิน👂เสียงพวกนี้ ซึ่งจะกระตุ้นเรื่องการพัฒนาการได้ยินของลูกน้อยอารมณ์ของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์หากคุณแม่มีความเครียดมาก😡ในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วย<hr>วิธีการช่วยกระตุ้นให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึกการที่คุณแม่ลูบหน้าท้องเบาๆ🤰จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนความรู้สึกได้ชวนลูกคุยบ่อยๆ หรือเปิดเสียงดนตรีให้ลูกฟังลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่สามารถได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้อง🎧🤰 ซึ่งทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป การที่คุณพ่อคุณแม่มีการพูดคุยกับลูกส่งผลให้ทารกมีความคุ้นเคยจากเสียง และคุณแม่สามารถหยิบหนังสือ📖🗣️มาอ่านออกเสียงให้ลูกน้อยฟัง โดยเสียงจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองที่มีความซับซ้อนของการได้ยิน ตีความเสียง และส่วนความทรงจำ นอกจากนี้การเปิดเพลง🎶ให้ลูกฟังทำให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ดีด้วย😄ส่องไฟฉายบริเวณผิวท้องของคุณแม่เพื่อกระตุ้นการมองเห็นคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการส่วนการมองเห็น👁️ ด้วยการดึงดูดความสนใจของทารกในครรภ์ โดยการส่องไฟฉาย🔦 เลื่อนไป-มา หรือ เปิด-ปิดไฟฉาย พร้อมกับพูดคุยและเล่นกับลูกน้อยไปด้วย แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำในที่มืด🌌จะช่วยเรื่องการมองเห็นได้ดีกว่าที่สว่าง และควรเริ่มทำตั้งแต่ทารกเริ่มดิ้นไปจนถึงวันที่คลอด&nbsp;การนั่งโยกเก้าอี้ หรือการออกกำลังกายจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวของลูกคุณแม่สามารถนั่งโยกเก้าอี้🪑หน้า-หลัง พร้อมเอามือลูบหน้าท้องไปพรางๆ และเปิดเพลงฟัง🎵 หรือออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยกระตุ้นเรื่องการพัฒนาด้านเซลล์ประสาทการทรงตัวและพัฒนาเรื่องระบบประสาทการสัมผัสของทารก&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่ควรใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์🍲 หมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมจนถึงวันคลอด และนอกจากการบำรุงร่างกายที่ดีแล้ว คุณแม่ควรออกกำลังกาย🚶‍♀️แต่พอเหมาะ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อการเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดี โดยเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกระตุ้นสมอง🧠และระบบประสาทตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ไปจนถึงหลังการคลอด🤱

การพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นยังไงนะ?

น้ำหอมหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนใช้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ให้กับเรา แต่เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วจะสามารถใช้น้ำหอมต่อไปได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรต่อทารกในครรภ์หรือเปล่า เราไปดูกันเลยค่ะ<hr>ท้องแล้วยังสามารถใช้น้ำหอมได้ไหม?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3409/f9698c9f-6bad-4a79-814a-e2d706a699a0.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">หลีกเลี่ยงน้ำหอม?จากงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม เทียนหอม สเปร์หอม ไมโครเวฟ รวมถึงการใช้พลาสติก👃หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผสมน้ำหอมไม่เพียงเท่านั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่ถูกผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่🧼 ผงซักฟอง น้ำยาซักผ้า ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ต่างๆ<hr>งานวิจัยบ่งบอกว่าอย่างไร?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3409/977ed452-80f2-4831-8950-86c3191db518.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">งานวิจัยจาก University Of Illinois พบว่าสารเคมีที่อยู่ในน้ำหอมนั้นมีผลต่อการพัฒนาสมอง🧠 โดยได้ทำการทดลองในหนูที่ตั้งครรภ์ และพบว่าหนูที่ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำหอมและพลาสติกนั้น ลูกหนูที่เกิดมามีระดับปัญญาที่แย่กว่าโดยการทดลองยังสรุปได้ว่าแม้ว่าแม่หนู🐁จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ลูกหนูนั้นได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงน้ำหอม สเปรย์ต่างๆ และพลาสติกนั่นเองค่ะ<hr>หลังคลอดล่ะ ใช้น้ำหอมได้ไหม?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3409/d1291243-5ae9-49da-a651-0352ade1f37d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">หลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วก็ยังไม่ควรใช้น้ำหอมเพราะผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอม โคโลญจน์ สเปรย์ฉีดตัวหลายๆตัวมีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ โดยหายลูกยังอ่อน👶อยู่ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายจากน้ำหอมเหล่านี้โดยการศึกษาของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1991 พบว่าสารเคมี 95% ในน้ำหอมเป็นสารประกอบที่ทำมาจากปิโตเลียม รวมถึง Greenpeace ยังพบว่าแบรนด์น้ำหอมชื่อดังกว่า 36 แบรนด์ มีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างพาทาเลต และ มัสค์สังเคราะห์ ซึ่งสารเคมีสองตัวนี้สามารถมีผลกระทบต่อกระแสเลือด🩸ในสมอง🧠 &nbsp;รวมถึงยังทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้สุดท้ายนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยังพบว่าสารเคมี Linalool ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในน้ำหอมสามารถกระทบต่อระบบหายใจและยังก่อให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้าได้อีกด้วย😴 (ขอบคุณข้อมูลจาก Anna O&#39;rourke,her)ทราบอย่างนี้แล้วหากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการฉีดน้ำหอมกันไปก่อนเพื่อพัฒนาการและสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยนะคะ

ท้องแล้วฉีดน้ำหอมอยู่ระวัง! อันตรายกับลูกในครรภ์

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคน ไม่กล้าพาลูกไปตากแดดข้างนอกเพราะกลัวว่าแสงแดดจะเป็นตัวทำร้ายผิวของลูก เพราะทารกยังมีผิวที่บอบบาง แต่ความจริงแล้วหากเลือกช่วงเวลาการพาลูกน้อยออกไปตากแดดได้อย่างเหมาะสม แสงแดดก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับลูกน้อยได้นะคะ&nbsp;<hr>ข้อดีของการตากแดดยามเช้า<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2702/937a4dc8-a068-434b-823f-d5be41ed8c54.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ช่วงไหนที่ควรพาลูกตากแดด?แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกังวลอยู่ว่าจะพาลูกน้อยตากแดด⛅ได้จริงหรอ แต่ผิวของลูกบอบบางนะ แต่จริงๆแล้ว หากเลือกที่จะตากแดดในยามเช้าซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อทารกได้นะคะ&nbsp;แสงแดดดีอย่างไร?🌞วิตามินดีหากพาลูกน้อยตากแดดในยามเช้าลูกก็จะได้รับวิตามินดีค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของทารกจะต้องการโดนรังสียูวีอย่างน้อย 15 นาทีแต่ไม่ควรเกิน 30 นาทีในแต่ละวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสีโทนผิวของทารกโดยในทารกที่มีผิวคล้ำก็จะต้องการเวลาในการตากแดด⛅มากกว่าค่ะ ข้อดีเมื่อลูกน้อยได้รับวิตามินดีคือ มันจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่เป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างกระดูก🦴และฟัน รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย🌞ลดอาการตัวเหลืองในทารกแสงแดดจะสามารถช่วยลดอาการตัวเหลืองในทารก👶ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของบิลิรูบินเมื่อแรกเกิด หากผู้ปกครองพาลูกไปรับแสงแดดประมาณ 15-20 ต่อวันในช่วงเช้า จะสามารถลดอาการตัวเหลืองของลูกได้🌞ช่วยควบคุมระดับอินซูลินแม้ว่าแสงแดดจะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ระดับของอินซูลินดีโดยตรง แต่วิตามินดีที่ได้รับมาจากแสงแดดสู่ร่างกายนั้นจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับของอินซูลิน📉 ฉะนั้นหากลูกได้รับแสงแดดตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อยจะสามารถช่วยป้องกันภาวะโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยในการป้องกันโรคเบาหวานได้ค่ะ🌞ฮอร์โมนเซโรโทนินนอกจากนั้นแสงแดดยังช่วยในเรื่องของการผลิตเซโรโทนินให้ดีขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันในนามของฮอร์โมนแห่งความสุขนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมการย่อยอาหาร และการนอนหลับในทารก💤อีกด้วยค่ะ&nbsp;🌞เพิ่มระดับพลังงานแสงแดดธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมการผลิตเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับและตื่นนอน เมื่อทารกได้รับแสงแดด⛅ระหว่างวันก็จะทำให้ระดับของเมลาโทนินลดลงและเพิ่มระดับพลังงานในที่สุดค่ะ<hr>พาทารก 0-6 เดือนตากแดดอย่างไรดี<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2702/c0a594fd-fb2c-477b-9cdb-4b0cdfdd6bba.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ช่วงเวลาที่เหมาะสมช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพาลูกน้อยแรกเกิดถึง 6 เดือนการเดินเล่นคือช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า🕐 หรือช่วงเวลาหลังบ่าย 4 โมง แต่ไม่ควรให้ลูกโดนแสงโดยตรง ให้ใช้รถเข็นเด็กที่มีผ้าคลุมกันแดด และไม่ควรทาครีมกันแดดให้ลูก เพราะผิวของทารกจะไม่สามารถขับเคมีในครีมกันแดดได้&nbsp;วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดดควรสวมใส่ชุดมีความเบาบางเพื่อให้หายใจได้สะดวก โดยควรจะใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดดโดนใบหน้า หู คอ และศรีษะของลูกน้อย👶โดยตรง รวมถึงใส่เสื้อผ้าที่มีความยาวคลุมแขนและขาของทารกรวมถึงควรซื้อแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันยูวีเอและยูวีบีได้ เพื่อลดการสัมผัสของแสงยูวี⛅กับดวงตาของลูกน้อย การป้องกันตั้งแต่ยังเล็กจะลดโอกาสจอประสาทตาถูกทำลาย ต้อกระจกและปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับดวงตาเมื่อออกไปข้างนอกให้กางร่ม☂️ให้ลูก หรือเปิดร่มในรถเข็นเด็ก รวมถึงเมื่อให้ลูกนั่งรถยนต์ส่วนตัวก็ควรจะมีที่บังแสงแดดแบบตาข่าย รวมถึงควรใช้ฟิมล์หน้าต่างที่สามารถกรองยูวีได้มากที่สุดหากเป็นไปได้<hr class="vb_h2">พาทารก 6-12 เดือนตากแดดอย่างไรดี<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2702/7e992d34-18c0-4f9e-8d00-e8e9bbcc1c5b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ช่วงเวลาที่เหมาะสมผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่วงเวลาในการพาทารกออกแสงแดดไว้คือช่วงเวลา 7 ถึง 10 โมงเช้า โดยควรตากแดดเวลาประมาณ 10-15 นาที🕐 ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกจะได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วโมงและช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมง โดยไม่ควรให้ลูกตากนานเกิน 30 นาที เพราะหากเกินกว่านั้นอาจทำให้ลูกเกิดอาการแสบร้อน ระคายเคือง เกิดรอยแดงได้ค่ะ&nbsp;วิธีเตรียมตัวเมื่อพาลูกไปเดินตากแดด⛅&nbsp;ควรจะยังใส่เสื้อผ้า หมวก ร่มตามข้างต้นเพื่อป้องกันลูกน้อย👶อยู่แต่ให้เพิ่มครีมกันแดดให้ลูกด้วย โดยตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทาครีมกันแดดให้ลูกน้อยได้แล้ว ซึ่งควรเลือกครีมกันแดดสำหรับทารกโดยเฉพาะ และควรมีค่า SPF อย่างน้อย 30 และสามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ค่ะ

พาลูกตากแสงแดดยามเช้าดีไหม?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันการจำแนกสารให้ความหวานเทียม แอสปาร์แตมเป็นสารที่ &#39;มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์&#39; หรือ &#39;Possibly carcinogenics to humans&#39; ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ &nbsp;📢 ในขณะที่ข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็กล่าวได้ว่าแอสปาร์แตมสามารถพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหนัก เจลาติน หมากฝรั่ง ไอศกรีม ยาสีฟัน ยาอมแก้ไอ ผลิตภัณฑ์จากนม แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่ สารนี้จะหายไปจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเลยหรือไม่ คุณแม่หลายๆท่านกำลังสับสนกับเรื่องนี้🤰🏻 บิลลี่ จึงขออาสามาเช็กข้อเท็จจริงค่ะ!😉<hr>ทำความรู้จักกับแอสปาร์แตม<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4063/a78f736e-d227-4c42-ad06-239b9f974e58.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">🍹แอสปาร์แตม.....มีรสหวานกว่าน้ำตาล 200 เท่า แทบไม่มีแคลอรีเลย🙅🏻&zwj;♀️ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อของแอสปาร์แตม ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถพบเจ้าแอสปาร์แตมนี้ในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยสารนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 จึงเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีรสหวาน 👅 ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยปัจจุบันยังคงมีการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ อย่าง Coke Zero, Diet Coke หมากฝรั่ง ลูกอม โยเกิร์ต ไอศรีม ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด แต่ไม่นานมานี้องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศให้เจ้าสารที่ถูกใช้ในเชิงเพื่อสุขภาพ กลายเป็นสารก่อมะเร็งแทน ข่าวนี้ทำให้ผู้อ่านหลายๆท่านหนักใจ เพราะเราต่างต้องเคยบริโภคสารนี้กันทั้งนั้น&nbsp;<hr>รู้จักประเภทของสารก่อมะเร็ง<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4063/6f376079-8bc4-4a7f-858e-dfbfe564c4d5.jpeg" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO ได้ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ &#39;มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์&#39; หรือ &#39;Possibly carcinogenics to humans&#39;💥 ในวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ &nbsp;โดย IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งในระดับ 2B ซึ่งการนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆดังนี้ระดับที่ 1&nbsp;เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานบ่งชี้มากพอในเชิงสถิติ ว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ สารกลุ่มนี้ตามกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอาหารและยาในแต่ละประเทศ จะต้องไม่ถูกเติมหรือมีการปนเปื้อนในอาหารอยู่แล้ว มักเป็นสารที่ถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่ สารหนูหรืออาร์เซนิค หรือสารในกลุ่มเบนซีนค่ะระดับที่ 2A&nbsp;เป็นสารกลุ่มที่มีหลักฐานงานวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ยังถือว่ามีจำนวนงานวิจัยที่น้อย จึงได้แต่ใช้คำว่า &#39;มีแนวโน้มที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์&#39; แทน ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือไม่เพียงพอค่ะ อย่างไรก็ตามสารในกลุ่มนี้ก็ยังมีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองค่ะ ยกตัวอย่างเช่นซิลิกาที่ใช้ทำซองดูดความชื้นนั่นเองค่ะระดับที่ 2Bเป็นสารที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ส่วนหนึ่งบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะยืนยัน ในกรณีของการก่อมะเร็งในสัตว์ก็มีแต่ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถก่อมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งเจ้าแอสปาร์แตมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ นั่นทำให้เราสามารถตีความได้ว่า ทางองค์กรอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าแอสปาร์แตมอาจจะก่อมะเร็งทั้งในสัตว์และในคน แต่ยังเป็นหลักฐานที่มีจำนวนน่าเชื่อถือไม่เพียงพอ เมื่อคำนวณความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติค่ะระดับที่ 3&nbsp;เป็นสารที่ยังไม่มีข้อมูลว่าสามารถก่อมะเร็งได้ทั้งในร่างกายมนุษย์เองและร่างกายของสัตว์ค่ะ<hr>สรุปแล้วแอสปาร์แตมอันตรายแค่ไหน<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4063/ff5fad7d-077c-48e5-9878-afa7a89598e2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">แอสปาร์แตมก่อมะเร็งจริงหรือไม่?โดยความจริงแล้วสารระดับ 2B นั้นสามารถพบได้ในส่วนผสมในของที่เรารับประทานหรือใช้กันในชีวิตประจำวัน🍽️ อย่าง กรดคาเฟอิกในกาแฟ ว่างหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว รวมถึงกิมจิและผักดองอื่นๆด้วย ซึ่งคนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับสารทดแทนความหวาน หลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าแอสปาร์แตมจะทำให้เราเป็นมะเร็งจริงๆ แม้กระทั่งหลักฐานในสัตว์ทดลองเองก็ยังไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะยืนยันได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคเป็นอาหาร และไม่ได้หมายความว่าการรับประทานแอสปาร์แตมจะทำให้เกิดมะเร็ง แต่มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณในการรับประทานสารให้ความหวานเทียมค่ะ🙌🏻 &nbsp;ยังสามารถรับประทานน้ำอัดลม 0% ได้หรือไม่?ยังสามารถรับประทานได้ค่ะ โดยค่าที่ปลอดภัยในการรับประทานแอสปาร์แตมจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม👀 หากจะพูดให้เห็นภาพ หากคุณผู้อ่านมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัมนั่นหมายความว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานแอสปาร์แตมได้ในปริมาณที่ปลอดภัยไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหนึ่งกระป๋อง มักใส่แอสปาร์แตมไม่เกิน 300 มิลลิกรัม นั่นแปลว่าคุณผู้อ่านสามารถรับประทานน้ำอัดลมชนิดนั้นได้ประมาณ 6-7 กระป๋องโดยประมาณเลย ซึ่งนับเป็นปริมาณที่ค่อนข้างเยอะมากต่อวัน หากไม่ได้ติดน้ำอัดลมกลุ่มนี้ เรามักจะกินไม่ถึงปริมาณที่มีความเสี่ยงว่าจะก่อมะเร็งอยู่แล้วค่ะ🫡&nbsp;<hr>ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4063/48fba531-9963-4673-a79c-12bb7740267d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">🍹สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จากการศึกษาที่ประกาศโดย American Society for Reproductive Medicine ในปี 2559 📑 สารให้ความหวานเทียมในเครื่องดื่ม 0% จะลดความสามารถของผู้หญิงในการปฏิสนธิและส่งผลต่อสุขภาพของเซลล์ไข่ โดยหากบริโภคในระหว่างตั้งครรภ์ ว่ากันว่าอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มอัดลมที่มีระดับน้ำตาลสูงหากเป็นไปได้นะคะ!🙅🏻&zwj;♀️🍹 แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกอยู่ล่ะ?หากคุณมีโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่าฟีนิลคีโตนูเรีย (PKU) ซึ่งไม่สามารถเผาผลาญแอสปาร์แตมได้ ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งที่มีแอสปาร์แตม 🚫 โดยไม่ใช่เพียงคุณแม่และลูกน้อยเท่านั้นที่ควรเลี่ยง แต่ยังรวมถึงแม่ที่วางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีของทารกแรกเกิด ทารกจะได้รับการทดสอบที่โรงพยาบาลหลังคลอด ดังนั้นหากมีความผิดปกติก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นไม่ต้องกังวลจนมากเกินไปนะคะ!แม้ว่ากระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารให้ความหวาน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ยังคงกังวล ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องแอสปาร์แตม หัวหน้าสำนักโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO แนะนำว่าควรพิจารณา &#39;การดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีรสหวาน🥛&#39; แทนที่จะมองหาของหวานอื่นทดแทน ลองเลิกนิสัยชอบความหวานและพึ่งพาอาหารแปรรูป แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพกันดูนะคะ 💖

สารให้ความหวานในน้ำอัดลมก่อให้เกิดมะเร็ง?

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมลูกถึงร้องไห้งอแงหนัก นอกจาก หิว หรือ รู้สึกไม่สบายตัวแล้วยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทารกร้องไห้ เหตุผลเหล่านั้นคืออะไรเราไปดูกันค่ะ<hr>เหตุผลที่ทารกร้องไห้<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2238/3c4c5aa8-59ae-45e1-93ef-53decd227cb2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ร้องเพราะหิวการร้องไห้เพราะหิวเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่จะนึกถึง เพราะนมแม่นั้นจะย่อยง่ายและเป็นปกติที่ลูกจะรู้สึกหิวบ่อย โดยควรให้นมแม่กับลูกทุกๆ 2-3 ชั่วโมงแล้วสังเกตว่าลูกหยุดร้องหรือไม่ หรือยังไม่หยุดร้องแปลว่าอาจมาจากสาเหตุอื่นและหากหยุดร้องแปลว่าถูกต้องแล้วค่ะ✨ร้องเพราะปวดท้องแต่ในเด็กบางคนที่ร้องไห้หนัก😭 อาจมีเหตุผลอื่นเช่น มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บางคนร้องไห้นาน 2-3 ชั่วโมงก็มีค่ะ ความเชื่อและงานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าเหตุผลหลักที่ทารก👶ร้องมักมาจากการมีลม☁️ในกระเพาะอาหารมากทำให้รู้สึกอึดอัดท้อง จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ทารกทานนมแม่เท่านั้นในช่วง 0-3 เดือน เพราะนมแม่จะย่อยได้ง่ายกว่าจึงลดการเกิดลมในท้องได้✨ร้องเพราะผ้าอ้อมเปียกเวลาลูกร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมคอยเช็คผ้าอ้อมของลูกนะคะว่าเปียกหรือไม่&nbsp;✨ร้องเพราะง่วงนอนบางครั้งลูกอาจรู้สึกเหนื่อย หรือง่วงนอน แต่ไม่หลับ นั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบๆตัวอาจไม่เอื้ออำนวยให้ลูกนอน เช่นมีคนเยอะเสียงดัง อากาศร้อนเป็นต้นค่ะ✨ร้องโดยไม่มีเหตุผลโดยในทารก👶บางคนอาจร้องไห้วันละ 2-3 ชั่วโมงโดยไม่มีเหตุผล และ ไม่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งสามารถพบได้ในเด็กวัยก่อน 3 เดือน คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ว่าทำไมลูกถึงไม่หยุดร้องไห้ ยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงดูลูกในช่วง 2-3 เดือนแรก มักพยายามหาเหตุผลต่างๆ ว่าลูกน้อยร้องเพราะอะไรจนเกิดความเครียด😞<hr>ร้องไห้โคลิก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2238/33ceebc5-bb88-472f-889a-4291b748a7e4.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ร้องไห้โคลิกคืออะไร...?ทารกที่ร้องไห้มากๆ และร้องไห้เป็นช่วงเวลา🕐จะเรียกว่าร้องโคลิก ซึ่งทารกจะร้องไห้เก่งและจะร้องเป็นเวลาเดิม เช่น ทุกๆ 4 โมงเย็น โดยยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากสาเหตุใด✨จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกร้องโคลิกหากเป็นการร้องโคลิก😭 &nbsp;ทารกจะยังเจริญอาหารและยังทานนมได้เยอะ น้ำหนักของลูกน้อยก็จะขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยอาการโคลิกนี้จะหายไปเองหลังผ่าน 3 เดือนไปแล้วค่ะ<hr>สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2238/7b7acb58-e8dc-4b1d-b57e-999c47a18921.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨สังเกตลูกน้อยให้คุณพ่อคุณแม่พยายามสังเกตพฤติกรรมและอารมณ์พื้นฐานของลูก โดยพยายามตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของลูกทันที (ใน 6 เดือนแรก) เพื่อที่ว่าลูกจะได้ไว้ใจและเกิดความผูกพันกับพ่อแม่ โดยให้พยายามสัมผัสลูกบ่อยๆจะทำให้ลูกร้องน้อยลงได้✨ไม่วิตกกังวลจนเกินไปคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ให้สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และอาจผลัดกันเลี้ยงดูลูกพร้อมกับเปิดเพลงเบาๆ&nbsp;คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรทำใจไว้ล่วงหน้าว่าลูกน้อยในช่วง 3 เดือนแรกอาจมีอาการร้องไห้หนัก😭 โดยอาจจะหาเหตุผลได้ หรือ หาเหตุผลไม่ได้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้คืออดทนและใจเย็น โดยหากยังรู้สึกไม่สบายใจ อาจลองพาน้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูความผิดปกติของร่างกายได้นะคะ🏥

หนูร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน!

เราอาจพบปัญหาการนอนของทารกในวัยแรกเกิดได้ซึ่งหนึ่งในวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ คือ การห่อตัวทารกด้วยผ้า<hr>การห่อตัวทารกแรกเกิด<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2306/606cf8f5-c3b8-4e48-80cd-44eb2f08a64d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨สาเหตุของปัญหาทารกแรกเกิดอาจจะยังไม่สามารถปรับต้วกับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ทำให้เกิดปัญหาในการนอน❌✨การห่อทารกด้วยผ้าห่อตัวช่วยอย่างไรการห่อทารกด้วยผ้าห่อทำให้ทารกเหมือนอยู่ในมดลูก จึงทำให้ทารกนอนหลับง่ายขึ้น ลดอาการงอแง😭 ตื่นตกใจ หรือสะดุ้งตื่นเวลานอน&nbsp;✨เมื่อไหร่ที่ควรหยุดห่อควรห่อทารกถึงอายุ 2 เดือนเท่านั้น หรือหากทารกสามารถนอนหลับเองได้ดีแล้วก็สามารถหยุด❌ห่อตัวได้เลย✨ทำไมถึงควรหยุดห่อเมื่อทารกโตขึ้นจะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นเอง นอกจากนี้เมื่อทารก👶อายุ 2 เดือนจะเริ่มสามารถเคลื่อนไหวและกลิ้งไปมาได้แล้ว ดังนั้นการห่อทารกไว้อาจก่อให้เกิดอันตรายได้<hr>ข้อควรระวังในการห่อทารก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2306/39a5a38d-6cdd-4d67-b274-a80d9f2b87a4.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ห่อแล้วให้นอนหงายท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทารก เพื่อป้องกันไม่ให้ทารก👶หายใจไม่ออกจนอาจทำให้เกิดการเสียชีวิต หรือที่เรียกว่าการไหลตาย (SIDS)✨ห่อให้พอดีการห่อทารกแน่นจนขา🦵งอหรือเหยียดตรงมากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ควรพันผ้าโดยให้ทารกยังสามารถขยับสะโพกและขาได้เล็กน้อย&nbsp;<hr>วิธีห่อทารกอย่างปลอดภัย<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2306/e1860461-7980-4621-af80-1c9ec23e4060.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">จากคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American Academy of Pediatrics) ได้บอกวิธีห่อตัวของทารกอย่างปลอดภัยไว้ ดังนี้ค่ะ&nbsp;✨หากห่อตัวทารก คอยดูให้ทารกนอนหลับในท่าหงาย และระวังไม่ให้ลูกนอนตะแคงหรือคว่ำในขณะหลับ&nbsp;✨รวมถึงควรจัดผ้าปูที่นอน🛏️ให้ตึงเสมอ เพราะหากผ้าปูที่นอนหรือผ้าปูรองนอนมีความหย่อนหรือผ้าห่อตัวของทารกมีการห่อไว้หลวมๆ ก็อาจทำให้ผ้าหลุดออกจากเตียงหรือจากตัวของทารก👶 ได้ และหากผู้ปกครองไม่ได้เฝ้าดูอยู่ขณะนั้นก็อาจทำให้ลูกขาดอากาศหายใจหากหน้าของลูกเข้าไปซุกที่ผ้าทั้งหลายได้ค่ะ&nbsp;✨ที่สำคัญคือจะต้องคอยระวังไม่ให้ที่นอนมีลักษะที่นุ่มจนเกินไป หรือมีลักษณะบุ่มเป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้ลูกหน้าคว่ำแล้วเกิดหายใจไม่ออกและเสียชีวิตได้ค่ะ💀 รวมถึงควรจะแยกของเล่น ตุ๊กตา🧸 หมอน ผ้าห่มอื่นๆ ออกจากที่นอนของทั้งลูกและคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้คุณพ่อคุณแม่เผลอทับโดยไม่ตั้งใจค่ะ&nbsp;✨การห่อตัวทารกจะทำให้อุณหภูมิร่างกายของลูกสูง🌡️กว่าปกติ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรระวังไม่ให้ลูกร้อนจนเกินไป โดยให้สังเกตว่าลูกมีเหงื่อ💦ออกตามตัวไหม แก้มแดงหรือเปล่า ผมเปียก มีผื่นจากความร้อน หรือหายใจเร็วกว่าปกติไหมนะคะ&nbsp;

เอาผ้าห่อตัวทารกจริงๆแล้วดีหรือไม่?

V&igrave; sao mẹ bầu cần ch&uacute; &yacute; đến chế độ ăn uống khi mang thai?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1449/658777a0-1acc-4ac7-a28a-a4a99c425bd6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Dinh dưỡng của thai nhi phụ thuộc v&agrave;o mẹ?Kh&ocirc;ng chỉ ri&ecirc;ng 3 th&aacute;ng cuối thai kỳ m&agrave; xuy&ecirc;n suốt qu&aacute; tr&igrave;nh mang thai, dinh dưỡng🥙 của thai nhi phụ thuộc ho&agrave;n to&agrave;n v&agrave;o mẹ. Do đ&oacute;, mẹ c&oacute; chế độ ăn uống c&acirc;n bằng, khoa học v&agrave; đầy đủ sẽ gi&uacute;p b&eacute;👶 kh&ocirc;ng bị thiếu hụt chất dinh dưỡng v&agrave; chậm ph&aacute;t triển cả thể chất lẫn tinh thần khi lớn l&ecirc;n.&nbsp;Chế độ dinh dưỡng kh&ocirc;ng ph&ugrave; hợp trong thai kỳ c&oacute; thể dẫn đến những hậu quả g&igrave;?Tuy nhi&ecirc;n, khi mẹ bầu🤰 ăn qu&aacute; nhiều so với nhu cầu khuyến nghị sẽ g&acirc;y ra dư thừa năng lượng v&agrave; t&iacute;ch tụ trong cơ thể. Kết quả sẽ l&agrave;m cho mẹ tăng c&acirc;n v&agrave; t&iacute;ch trữ qu&aacute; nhiều chất b&eacute;o.&nbsp;Đ&acirc;y c&oacute; thể l&agrave; nguy&ecirc;n nh&acirc;n tăng nguy cơ mắc bệnh tiểu đường thai kỳ, c&aacute;c vấn đề về tim, đột quỵ hoặc trầm cảm. Ở giai đoạn 3 th&aacute;ng cuối, khi em b&eacute;👶 đang tăng tốc ho&agrave;n thiện để ch&agrave;o đời, mẹ cần lưu &yacute; ki&ecirc;ng ăn uống c&aacute;c thực phẩm🍕 kh&ocirc;ng l&agrave;nh mạnh cho thai nhi cũng như những c&aacute;ch ăn uống c&oacute; nguy cơ g&acirc;y sinh non.<hr>Mẹ bầu kh&ocirc;ng n&ecirc;n ăn g&igrave; trong 3 th&aacute;ng cuối thai kỳ?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1449/b75b3540-04da-4f1f-97b0-12c95a58a795.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">C&aacute;c m&oacute;n ăn mặn, c&oacute; nhiều dầu mỡC&aacute;c m&oacute;n ăn mặn🧂 như c&aacute; kh&ocirc;, dưa c&agrave; muối, c&aacute;c m&oacute;n được nấu mặn,&hellip; đều c&oacute; thể khiến huyết &aacute;p của b&agrave; bầu tăng cao, thậm ch&iacute; c&oacute; thể dẫn tới t&igrave;nh trạng ngộ độc thai kỳ. Ngo&agrave;i ra, c&aacute;c m&oacute;n ăn mặn, c&oacute; nhiều dầu mỡ🍔 c&ograve;n rất kh&oacute; ti&ecirc;u, c&oacute; thể g&acirc;y ảnh hưởng tới hệ ti&ecirc;u h&oacute;a v&agrave; tim mạch của b&agrave; bầu.&nbsp;C&aacute;c m&oacute;n sống, nguộiC&aacute;c m&oacute;n ăn chưa được nấu ch&iacute;n kỹ c&oacute; thể chứa vi khuẩn, k&yacute; sinh tr&ugrave;ng c&oacute; hại cho sức khỏe. B&agrave; bầu 3 th&aacute;ng cuối ăn c&aacute;c m&oacute;n ăn🍣 chưa nấu ch&iacute;n c&oacute; thể bị nhiễm độc g&acirc;y rối loạn ti&ecirc;u h&oacute;a, k&iacute;ch th&iacute;ch co b&oacute;p tử cung dẫn đến sảy thai. V&igrave; vậy mẹ tuyệt đối kh&ocirc;ng ăn c&aacute;c m&oacute;n gỏi🥩, c&aacute;c m&oacute;n t&aacute;i, sống... để đảm bảo an to&agrave;n cho sức khỏe thai kỳ.Rượu bia, c&aacute;c chất k&iacute;ch th&iacute;chNhững th&aacute;ng cuối thai kỳ l&agrave; giai đoạn nước r&uacute;t để thai nhi ph&aacute;t triển tr&iacute; n&atilde;o v&agrave; c&aacute;c cơ quan quan trọng. Việc sử dụng rượu bia🍻 v&agrave; c&aacute;c chất k&iacute;ch th&iacute;ch c&oacute; thể ảnh hưởng đến sức khỏe của b&eacute;. Mẹ bầu n&ecirc;n tr&aacute;nh xa những chất n&agrave;y, kể cả việc h&uacute;t thuốc l&aacute;🚬 bị động.Thực phẩm g&acirc;y k&iacute;ch th&iacute;ch tử cungNhững thực phẩm như rau ng&oacute;t, mướp đắng, rau ch&ugrave;m ng&acirc;y🥬... chứa c&aacute;c chất g&acirc;y co thắt tử cung, dễ dẫn đến sinh non hoặc sảy thai. V&igrave; vậy thai phụ🤰 cần ki&ecirc;ng tuyệt đối những thực phẩm n&agrave;y để kh&ocirc;ng g&acirc;y nguy hại đến thai nhi.&nbsp;

Mẹ bầu nên kiêng ăn gì trong 3 tháng cuối để thai nhi phát triển tốt?

Tìm hiểu về cơn gò Braxton-Hicks (cơn gò sinh lý) Cơn gò Braxton-Hicks (cơn gò sinh lý) là gì?Cơn gò Braxton – Hicks hay còn được gọi là cơn gò chuyển dạ giả, xuất hiện vào khoảng tháng thứ 4 của thai kỳ, thường không đều và không có tính chu kỳ. Những cơn gò này là bước đầu để tử cung luyện tập cho ngày sinh👶 và rèn luyện khả năng chịu đựng của người phụ nữ.Cơn gò sinh lý kéo dài bao lâu?Cơn gò sinh lý sẽ kéo dài khoảng 30 giây, xuất hiện bất chợt (thường tự biến mất khi nghỉ ngơi), không thành cơn. Thai phụ🤰 sẽ không có cảm giác đau đớn nhưng sẽ cảm thấy căng tức vùng bụng dưới.&nbsp;Những cơn đau tức cũng có thể không phải gò tử cung mà do tăng nhu động ruột do tử cung chèn ép, không đáng ngại. Thai phụ có thể dùng 💊thuốc giảm co thông thường nếu thấy khó chịu.Làm sao để phòng tránh hoặc giảm bớt cơn gò sinh lý?Những cơn gò có tính chất như trên thường xuất hiện khi mệt mỏi, mất nước hay đi đứng quá nhiều và sẽ biến mất khi nghỉ ngơi🛏️ hay thư giãn. Để giảm bớt cơn gò, thai phụ nên uống nhiều nước, chuyển sang tư thế giảm đau, dành thời gian nghỉ ngơi (nằm nghiêng sang bên trái).&nbsp;Nếu đã thử những biện pháp trên mà những cơn gò vẫn không biến mất hoặc xảy ra với tần suất dày hơn, thai phụ nên đến bác sĩ👩‍⚕️ khám ngay vì có thể sẽ bị sinh non.<hr>Cơn gò chuyển dạ đủ thángCơn gò chuyển dạ đủ tháng là gì?Cơn gò chuyển dạ sau 37 tuần gọi là chuyển dạ đủ tháng. Cơn gò chuyển dạ là dấu hiệu sắp sinh🤰 với các đặc điểm chung như đau vùng bụng dưới và thành cơn (10 phút/lần), cường độ đau ngày càng mạnh và tần suất dày hơn, ra nhầy hồng âm đạo hoặc ra ối (vỡ ối).Cơn gò chuyển dạ được chia làm 2 giai đoạn như sau.Giai đoạn sớm trước chuyển dạMức độ của các cơn gò trong giai đoạn này vẫn còn nhẹ nhàng, thai phụ🤰 sẽ có cảm giác căng chặt tử cung hay bụng dưới, kéo dài từ 30 - 90 giây. Những cơn gò này sẽ xuất hiện tăng dần đều về khoảng cách và cường độ, càng đến lúc chuyển dạ, cơn gò⚡ càng xuất hiện dày hơn, có thể xuất hiện 5 phút/lần.Trong giai đoạn này, thai phụ nên lưu ý đến những dấu hiệu giúp nhận biết chuyển dạ thực sự như thấy chất nhầy hồng từ cổ tử cung do cổ tử cung mở rộng dần, thậm chí là vỡ ối🌊.Chuyển dạ thực sựTrong giai đoạn chuyển dạ, cổ tử cung mở rộng từ 7 đến 10cm, cơn gò tử cung sẽ diễn ra liên tục và tính chất cơn đau⚡ tăng lên và kéo dài từ 60 đến 90 giây sau 30 giây đến 2 phút. Cơn gò có thể lan ra từ lưng ra trước bụng gây chuột rút ở chân và đau. Cơn gò thậm chí có thể diễn ra liên tục, chồng lên nhau để đẩy em bé👶 ra ngoài.Khi chuyển dạ, cơn gò có thể làm thai phụ đau đầu, buồn nôn, nóng ran hoặc ớn lạnh, đầu bùng,... Thai phụ🤰 cần được nhập viện để được sinh nở an toàn, hạn chế tối đa các tai biến cho cả mẹ và bé.<hr>Cơn gò chuyển dạ sinh non là gì?Cơn gò tử cung xảy ra trước 37 tuần có thể là dấu hiệu của sinh non🚨. Tính chất của cơn gò chuyển dạ sinh non tương tự với cơn gò chuyển dạ đủ tháng. Đó là xuất hiện đều đặn theo chu kỳ thời gian như mỗi 10 - 12 phút trong hơn 1 giờ, cảm giác căng chắt tử⚡ cung và bụng sẽ cứng hơn.Nếu chưa đủ tháng mà xuất hiện cơn gò với tính chất nêu trên, thai phụ🤰 nên đến bệnh viện khám ngày, đặc biệt là nếu có kèm theo chảy máu âm đạo, tiêu chảy hay có nước chảy ra từ âm đạo (vỡ ối).<hr>Mẹ bầu nên làm gì để giảm cơn gò tử cung khi mang thai?Nếu là cơn gò Braxton-HicksMẹ nên tắm bồn nước ấm🛀, tắm vòi hoa sen với nước ấm (chỉ nên tắm nhanh và lưu ý đến nhiệt độ nước) hoặc dùng một chai nước ấm bọc trong chiếc khăn mềm để chườm nhẹ lên bụng bầu.Nếu có dấu hiệu của chuyển dạBà bầu cần được nhập viện🏥 kịp thời, đặc biệt là trong trường hợp sinh non. Trong lúc đó, một số biện pháp như hít thở chậm và sau, uống một ly nước ấm có thể giúp giảm đau.

Hiểu đúng hơn về các cơn gò tử cung

Hiện tượng rỉ nước ối c&oacute; nguy hiểm kh&ocirc;ng? <img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1348/b032afbf-af38-46c6-a747-dafb9c1146c7.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Tại sao mẹ bầu bị rỉ nước ối?M&agrave;ng ối l&agrave; bộ phận c&oacute; t&aacute;c dụng bảo vệ🛡️ b&agrave;o thai kh&ocirc;ng để c&aacute;c loại vi khuẩn c&oacute; cơ hội từ b&ecirc;n ngo&agrave;i tấn c&ocirc;ng được v&agrave;o tử cung.&nbsp;Khi m&agrave; thai phụ c&oacute; xuất hiện vi&ecirc;m nhiễm ở trước hay trong khoảng thời gian mang thai🤰 th&igrave; m&agrave;ng bọc t&uacute;i ối sẽ ng&agrave;y c&agrave;ng mỏng đi v&agrave; dẫn đến t&igrave;nh trạng r&ograve; rỉ nước ối. T&igrave;nh trạng n&agrave;y thường gặp ở c&aacute;c sản phụ c&oacute; ng&ocirc;i thai hoặc khung chậu kh&ocirc;ng b&igrave;nh thường, c&oacute; đa thai👶👶 hoặc đa ối.&nbsp;Rỉ nước ối g&acirc;y ra những vấn đề g&igrave;?Hiện tượng rỉ nước ối💧 xuất hiện l&agrave;m cho lượng nước ối vốn c&oacute; bị cạn, ảnh hưởng nghi&ecirc;m trọng đối với qu&aacute; tr&igrave;nh ph&aacute;t triển của em b&eacute;. Nếu t&igrave;nh trạng n&agrave;y k&eacute;o d&agrave;i th&igrave; sẽ dẫn tới c&aacute;c dị tật bẩm sinh của trẻ hoặc l&agrave;m suy thai. C&oacute; thể trong một số trường hợp kh&aacute;c khi hiện tượng rỉ ối c&oacute; k&egrave;m theo với c&aacute;c cơn co tử cung th&igrave; sẽ dễ dẫn tới sảy thai🚨 hay sinh non ở thai phụ.B&ecirc;n cạnh đ&oacute; nếu hiện tượng rỉ nước ối k&eacute;o d&agrave;i hẳn trong suốt cả 3 th&aacute;ng cuối thai kỳ sẽ l&agrave;m lượng nước ối cần thiết cho thai nhi👶 kh&ocirc;ng đủ, dẫn đến thai nhi sẽ chậm ph&aacute;t triển. Ngo&agrave;i ra rỉ ối c&ograve;n l&agrave;m c&aacute;c mẹ kh&oacute; sinh v&igrave; d&acirc;y rốn c&oacute; thể bị &eacute;p chặt v&agrave; ảnh hưởng tới khả năng lấy oxy từ mẹ của b&eacute; rất nguy hiểm.&nbsp;Từ tuần thứ 36 trở đi của thai kỳ, lượng nước ối của thai phụ sẽ giảm dần để tạo điều kiện cho thai nhi ra đời. C&ugrave;ng với đ&oacute; thai nhi👶 cũng sẽ lớn l&ecirc;n, ch&egrave;n &eacute;p b&agrave;ng quang của mẹ n&ecirc;n dẫn đến hiện tượng s&oacute;n tiểu. Đ&acirc;y cũng l&agrave; nguy&ecirc;n nh&acirc;n mọi người thường nhầm lẫn giữa hiện tượng s&oacute;n tiểu v&agrave; 💦rỉ nước ối.<hr>Si&ecirc;u &acirc;m c&oacute; thể ph&aacute;t hiện rỉ ối kh&ocirc;ng?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1348/75edef06-e4f5-48f1-829b-ad7d30a969ef.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Tr&ecirc;n thực tế th&igrave; việc si&ecirc;u &acirc;m kh&ocirc;ng hề gi&uacute;p c&aacute;c b&agrave; mẹ🤰 &nbsp;ph&aacute;t hiện ra được việc rỉ nước ối, m&agrave; việc nhận ra hiện tượng rỉ nước ối sớm nhất lại l&agrave; ch&iacute;nh bản th&acirc;n sản phụ. Việc si&ecirc;u &acirc;m chỉ c&oacute; thể cho biết lượng nước ối của sản phụ l&agrave; bao nhi&ecirc;u v&agrave; từ đ&oacute; b&aacute;c sĩ👨&zwj;⚕️ sẽ kết luận xem lượng nước ối l&agrave; thiếu hay đủ hoặc l&agrave; đa nước ối.<hr>Những lưu &yacute; m&agrave; c&aacute;c mẹ cần biết khi ph&aacute;t hiện rỉ ốiNếu mẹ đ&atilde; chắc chắn rằng đang bị rỉ nước ối💦 th&igrave; kh&ocirc;ng n&ecirc;n sử dụng băng vệ sinh, ng&acirc;m m&igrave;nh trong bồn tắm v&agrave; kh&ocirc;ng được quan hệ t&igrave;nh dục.Nếu thai phụ🤰 mang thai chưa đủ 37 tuần, khi nghi ngờ rỉ nước ối th&igrave; h&atilde;y đi kh&aacute;m ngay để được b&aacute;c sĩ kiểm tra v&agrave; x&aacute;c định t&igrave;nh trạng cụ thể. Nếu rỉ nước ối &iacute;t hay chỉ bị nhiễm tr&ugrave;ng nhẹ th&igrave; c&aacute;c b&aacute;c sĩ c&oacute; thể can thiệp kịp thời gi&uacute;p giữ lại 👼thai nhi.Nếu thai phụ🤰 đ&atilde; mang thai từ 37 tuần trở l&ecirc;n, m&agrave; c&oacute; xuất hiện rỉ nước ối th&igrave; h&atilde;y chuẩn bị c&aacute;c dụng cụ cần thiết nhất để l&acirc;m bồn. Dấu hiệu n&agrave;y l&agrave; sự b&aacute;o hiệu cho những cơn chuyển dạ, ch&uacute;ng c&oacute; thể sẽ xuất hiện trong khoảng thời gian 24h giờ tới.

Mẹ nên làm gì khi phát hiện rỉ ối?

Những b&agrave;i tập đơn giản c&oacute; thể gi&uacute;p mẹ dễ sinh<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1496/bcc614c0-9309-4efc-9f75-241fde599946.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Đi bộ vừa sứcĐ&acirc;y l&agrave; b&agrave;i tập🚶&zwj;♀️ tập thể dục rất tốt cho sức khỏe của cả mẹ v&agrave; em b&eacute;. N&oacute; gi&uacute;p cải thiện tuần ho&agrave;n m&aacute;u🩸 v&agrave; giải tỏa căng thẳng.&nbsp;Thực tế, mẹ bầu🤰 c&oacute; thể đi bộ trong suốt cả 9 th&aacute;ng mang thai. Tuy nhi&ecirc;n, khi đi bộ cần tr&aacute;nh c&aacute;c địa h&igrave;nh mấp m&ocirc;⛰️, những nơi đ&ocirc;ng người hoặc nơi bị &ocirc; nhiễm. Mỗi lần đi bộ khoảng 30 ph&uacute;t bao gồm c&oacute; 6 ph&uacute;t khởi động v&agrave; thư gi&atilde;n sau mỗi 10 ph&uacute;t đi bộ nhanh. Những b&agrave;i tập đi bộ🚶&zwj;♀️ nhẹ nh&agrave;ng khi mang thai sẽ gi&uacute;p b&agrave; bầu dễ sinh hơn.B&agrave;i tập bơi lội&nbsp;Bơi lội🏊&zwj;♀️ l&agrave; một trong c&aacute;c b&agrave;i tập c&oacute; lợi nhất kh&ocirc;ng chỉ gi&uacute;p cải thiện chức năng tim mạch m&agrave; c&ograve;n gi&uacute;p tăng sự lưu th&ocirc;ng m&aacute;u, sức mạnh cơ bắp💪, gi&uacute;p mẹ bầu đối ph&oacute; với những th&aacute;ch thức cảm x&uacute;c li&ecirc;n quan đến thai kỳ. Một trong những kiểu bơi phổ biến tốt nhất được đề nghị trong qu&aacute; tr&igrave;nh mang thai l&agrave; bơi ếch.<hr>Một số b&agrave;i tập kh&aacute;c gi&uacute;p mẹ dễ sinh<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1496/e66a5a92-8fb1-48d7-817e-9b423e72462a.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">B&agrave;i tập aerobic nhẹ nh&agrave;ngViệc tập aerobic🤸&zwj;♀️ cường độ thấp kh&ocirc;ng chỉ gi&uacute;p tăng cường sức khỏe của tim, phổi m&agrave; c&ograve;n duy tr&igrave; được sự săn chắc của cơ bắp. Tuy nhi&ecirc;n nếu đang ở trong 3 th&aacute;ng đầu ti&ecirc;n của thai kỳ th&igrave; mẹ cần tập dưới sự gi&aacute;m s&aacute;t của c&aacute;c nh&acirc;n vi&ecirc;n👨&zwj;⚕️ hướng dẫn trực tiếp hoặc chờ đến giai đoạn 3 th&aacute;ng tiếp theo.Cần tr&aacute;nh c&aacute;c động t&aacute;c khom người, xoay người v&igrave; n&oacute; c&oacute; thể l&agrave;m mẹ bị ch&oacute;ng mặt😵. Ngo&agrave;i ra khi tập cần c&oacute; một chai nước🌊 b&ecirc;n cạnh để uống tr&aacute;nh trường hợp bị chuột r&uacute;t cơ bắp do mất nước.B&agrave;i tập nghi&ecirc;ng v&ugrave;ng chậuB&agrave;i tập nghi&ecirc;ng v&ugrave;ng chậu (Angry cat) được thực hiện khi cả tay✋ v&agrave; ch&acirc;n👣 c&ugrave;ng chống đỡ trọng lượng của cả cơ thể, tăng cường c&aacute;c bắp cơ ở bụng, giảm bớt đau lưng khi mang thai🤰 v&agrave; trong qu&aacute; tr&igrave;nh sinh nở. C&aacute;ch tập luyện nghi&ecirc;ng v&ugrave;ng chậu n&agrave;y cũng gi&uacute;p tăng sức mạnh cho cơ bụng, giảm bớt c&aacute;c cơn đau v&agrave;o giai đoạn cuối thai kỳ.B&agrave;i tập Angry cat😾 được thực hiện như sau. Chống thẳng tay v&agrave; quỳ gối xuống nền nh&agrave; trong tư thế b&ograve;, đầu hơi chếch l&ecirc;n, lưng v&otilde;ng xuống, 2 c&aacute;nh tay💪 dang rộng bằng vai, 2 đầu gối c&aacute;ch nhau 30 cm.Sau đ&oacute; v&ograve;ng lưng l&ecirc;n đồng thời h&oacute;p chặt c&aacute;c cơ bụng lại, siết cơ m&ocirc;ng cho chặt rồi thu gọn lại phần xương🦴 chậu sao cho phần cong của lưng hướng l&ecirc;n th&agrave;nh c&aacute;i &quot;bướu lồi&quot;. Giữ y&ecirc;n v&agrave;i gi&acirc;y sau đ&oacute; thả lỏng, thở🧘&zwj;♀️ ra v&agrave; thư gi&atilde;n.&nbsp;Lập lại 1 v&agrave;i lần t&ugrave;y theo sức lực v&agrave; cố gắng duy tr&igrave; tập luyện trong suốt thời gian mang thai🤰. Ngo&agrave;i ra, mẹ n&ecirc;n cố gắng th&oacute;p chặt c&aacute;c cơ bụng lại khi v&ograve;ng lưng l&ecirc;n để b&agrave;i tập đạt hiệu quả tốt nhất.

Mẹ bầu có nên vận động nhẹ để dễ sinh?

Chuyển dạ thường kéo dài 6-12 giờ ở người con rạ và thời gian này kéo dài tăng gấp đôi ở người mới sinh con lần đầu. Mẹ nên biết cách thở và rặn để quá trình sinh sẽ không còn là cơn ác mộng nữa và mẹ sẽ bình an vượt cạn thành công.<hr>Hướng dẫn thở khi sinh thường👶Cơn co tử cungCơn co tử cung có 3 thì. Ở thì co, bụng của mẹ có cảm giác cứng lên và cơn đau tăng dần. Ở thì kéo dài, mẹ có cảm giác đau đạt đỉnh điểm tại lúc này.😫 Ở thì nghỉ, cơn đau bụng sẽ giảm dần và có thể không còn cảm giác đau nữa. Đây là thời điểm mẹ phục hồi sức chuẩn bị cho cơn đau tiếp theo.😮‍💨&nbsp;👶Hướng dẫn thởLúc mẹ cảm thấy đau khi có cơn thắt, mẹ nên thở nhanh dần, hít bằng mũi👃 và thở ra bằng miệng.👄 Đến khi cơn đau tăng dần, mẹ sẽ thở nhanh và nông hơn.Khi cơn đau giảm dần, mẹ nên thở chậm hơn, sâu hơn, vừa thở vừa thư giãn, để lấy lại năng lượng chuẩn bị cho cơn co tử cung kế tiếp.😮‍💨 &nbsp;&nbsp;<hr>Hướng dẫn rặn khi sinh thường👶Cách rặn sinh thườngKhi sinh, mẹ nằm đầu cao một góc khoảng 45 độ, mông hơi nâng cao lên. Hai chân đạp vào hai bàn đỡ và hai tay nắm chặt lấy thành của bàn sinh. Khi cảm nhận được cơn gò tử cung, mẹ cần hít hơi thật sâu rồi dồn hơi xuống bụng thật mạnh để đẩy bé ra.😮‍💨 &nbsp;Rặn khi cơn co tử cung đang diễn ra mới mang lại hiệu quả cao. Sự kết hợp giữa lực của cơn gò tử cung, lực rặn của mẹ, lực đẩy của bác sĩ mới giúp bé ra đời tự nhiên một cách dễ dàng.🤕🤒Giữa hai cơn gò tử cung, mẹ nên hít thở đều đặn👃, nhịp nhàng để lấy sức cho cơn gò tiếp theo.👶Lưu ý trong quá trình sinh thườngQuá trình sinh rặn thường kéo dài 30-40 phút ở mẹ mới sinh con lần đầu. Mẹ sinh con rạ thường mất 20-30 phút cho quá trình này.😃Nếu mẹ sinh lần đầu, tầng sinh môn còn khá chắc nên bác sĩ phải cắt tầng sinh môn để giúp đường ra của bé rộng hơn, bé dễ ra hơn và hạn chế sang chấn vùng đầu của bé.👶 Chủ động cắt tầng sinh môn cũng giúp tránh trường hợp tầng sinh môn bị rách, dẫn đến mất thẩm mỹ và tổn thương cơ vòng hậu môn.&nbsp;

Cách rặn và thở cho mẹ bầu khi sinh thường

Chuẩn bị đồ đi sinh l&agrave; việc cuối c&ugrave;ng trong giai đoạn cuối thai kỳ.🤰 Danh s&aacute;ch chuẩn bị đồ đi sinh sẽ c&oacute; nhiều nguồn kh&aacute;c nhau. Nếu mẹ đang t&igrave;m một danh s&aacute;ch thật gọn g&agrave;ng v&agrave; tiện lợi, Baby Billy chuẩn bị cho mẹ một danh s&aacute;ch c&ograve;n c&oacute; thể tải xuống v&agrave; in ra để mẹ cầm theo kiểm tra từng mục. Như thế n&agrave;y mẹ c&oacute; th&iacute;ch kh&ocirc;ng ạ?🥰<hr>Mẹ xem thử danh s&aacute;ch chuẩn bị đồ đi sinh nh&eacute;?<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/posts/3326/204d950c-3d3e-48b1-a32c-89701ae8373a.png" class="fr-fic fr-dib">Danh s&aacute;ch được chia l&agrave;m 4 phầnDanh s&aacute;ch chuẩn bị đồ đi sinh được chia l&agrave;m 4 mục v&ocirc; c&ugrave;ng r&otilde; r&agrave;ng v&agrave; tiện lợi để mẹ c&oacute; thể theo d&otilde;i dễ d&agrave;ng!💪 1️⃣T&uacute;i mang đi sinh.2️⃣T&uacute;i chuẩn bị đi sinh cho mẹ.&nbsp;3️⃣T&uacute;i chuẩn bị đi sinh cho b&eacute;.&nbsp;4️⃣Những đồ chưa cần mua gấp.T&ugrave;y theo từng t&igrave;nh huống, mẹ c&oacute; thể lựa chọn cầm danh s&aacute;ch n&agrave;o đi ra khỏi nh&agrave; v&agrave; shopping. Thật tiện phải kh&ocirc;ng n&agrave;o?Danh s&aacute;ch gọn g&agrave;ng v&agrave; dễ hiểuMẹ đ&atilde; biết tại sao danh s&aacute;ch của Baby Billy cần thiết chưa? Baby Billy đ&atilde; thiết kế danh s&aacute;ch thật gọn g&agrave;ng v&agrave; khoa học để mẹ c&oacute; thể nh&igrave;n tổng quan v&agrave; dễ kiểm tra nhất rồi!😎 Ở ph&iacute;a trước mỗi mục c&ograve;n c&oacute; một &ocirc; vu&ocirc;ng nhỏ để mẹ c&oacute; thể tick mỗi khi chuẩn bị xong.Kh&ocirc;ng chỉ thế đ&acirc;u, b&ecirc;n dưới mỗi đồ l&agrave; lời giải th&iacute;ch ngắn gọn tại sao mẹ cần mua những thứ n&agrave;y nữa. Như vậy mẹ sẽ kh&ocirc;ng bao giờ c&ograve;n phải đắn đo n&ecirc;n mua hay kh&ocirc;ng n&ecirc;n mua, hay mua thừa hay mua thiếu nữa. Trong tay mẹ sắp c&oacute; bảo bối thần kỳ của Baby Billy rồi đ&acirc;y!😘<hr>Alo, mẹ h&atilde;y tải danh s&aacute;ch ở đ&acirc;y!<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/posts/3326/d537ed14-a962-48ca-951f-bc3ef172e9e5.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Mẹ chỉ cần ấn v&agrave;o n&uacute;t b&ecirc;n dưới v&agrave; tải ngay danh s&aacute;ch chuẩn bị đi sinh dưới dạng PDF được rồi! Baby Billy hy vọng rằng đ&acirc;y sẽ l&agrave; một bảo bối hữu &iacute;ch tiện lợi cho c&aacute;c mẹ! Baby Billy sẽ lu&ocirc;n ủng hộ mẹ bất cứ l&uacute;c n&agrave;o, bất cứ nơi đ&acirc;u ạ!📥&nbsp;<a class="btn btn-vb btn-block" href="https://drive.google.com/drive/folders/18fVMf6uKJW4UztRIeQmonLz9Mj2FQ9Gn">Danh s&aacute;ch đồ chuẩn bị đi sinh</a>

Danh sách chuẩn bị đồ đi sinh

Chuẩn bị đồ đi sinh cần những g&igrave;?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1501/1433eecb-dcf4-47d3-901f-8f2515825710.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Chuẩn bị đồ đi sinh cho mẹTh&ocirc;ng thường mẹ sẽ c&oacute; trang phục👚 d&agrave;nh cho thai phụ được cung cấp bởi bệnh viện, tuy nhi&ecirc;n cũng cần chuẩn bị th&ecirc;m từ 1 - 2 bộ &aacute;o quần👖 để ph&ograve;ng v&agrave; mặc l&uacute;c xuất viện.&Aacute;o kho&aacute;c🧥, khăn cho&agrave;ng, tất ch&acirc;n🧦, mũ tr&ugrave;m l&agrave; cần thiết, c&aacute;c mẹ sinh v&agrave;o m&ugrave;a lạnh n&ecirc;n chuẩn bị th&ecirc;m tất ch&acirc;n v&agrave; mũ tr&ugrave;m để giữ ấm cơ thể hoặc khi th&acirc;n nhiệt giảm🥶 trong v&agrave; sau khi sinh. Quần l&oacute;t giấy🩲 n&ecirc;n chuẩn bị 7 đến 10 c&aacute;i l&agrave; vừa đủ cho cả sinh thường v&agrave; sinh mổ.Chuẩn bị đồ🧳 đi sinh đừng qu&ecirc;n băng vệ sinh d&ugrave;ng cho mẹ sau sinh, đặc biệt l&agrave; những mẹ sinh mổ c&oacute; thể cần d&ugrave;ng nhiều hơn. Mẹ n&ecirc;n chuẩn bị 3 t&uacute;i👜 băng vệ sinh. Ngo&agrave;i ra, n&ecirc;n chuẩn bị trước 5 miếng l&oacute;t chống thấm, loại d&ugrave;ng cho bệnh nh&acirc;n phẫu thuật.Để lu&ocirc;n chủ động v&agrave; kịp thời, trước khi sinh mẹ n&ecirc;n mang theo khăn tắm, sữa tắm🧴, dầu gội, dung dịch vệ sinh phụ khoa, lược, b&agrave;n chải - kem đ&aacute;nh răng, nước s&uacute;c miệng. Chuẩn bị đồ đi sinh cho mẹ đầy đủ sẽ đảm bảo vệ sinh🧼 c&aacute; nh&acirc;n cho mẹ được thuận tiện sau khi sinh, gi&uacute;p ph&ograve;ng chống vi&ecirc;m nhiễm, đặc biệt l&agrave; những mẹ sinh mổ.&nbsp;Chuẩn bị đồ đi sinh cho b&eacute;B&eacute; mới sinh👶 sẽ cần khoảng 5 đến 7 bộ quần &aacute;o để thay đổi. Mũ tr&ugrave;m, tất tay v&agrave; tất ch&acirc;n🧦 cũng cần 3 đến 5 c&aacute;i, đ&ocirc;i mỗi loại. Gối mền d&agrave;nh ri&ecirc;ng cho trẻ l&agrave; kh&ocirc;ng thể thiếu.Mẹ h&atilde;y mang theo 2 đến 3 chiếc khăn mềm để quấn v&agrave; giữ ấm cho trẻ. Khăn sữa🍼 cũng cần cỡ 10 c&aacute;i để lau cho trẻ khi cần, đặc biệt l&agrave; sau khi tắm. Ngo&agrave;i ra cũng cần c&oacute; 3 đến 5 chiếc khăn x&ocirc; d&ugrave;ng để tắm🚿 v&agrave; lau cho trẻ khi tắm.C&aacute;c loại t&atilde;🧻 mẹ n&ecirc;n chuẩn bị 1 t&uacute;i hoặc 15 - 30 c&aacute;i, c&oacute; thể cần d&ugrave;ng nhiều hơn trong những ng&agrave;y đầu sau sinh (do trẻ đi ph&acirc;n su). Mẹ đừng qu&ecirc;n mang theo khoảng 10 miếng l&oacute;t chống thấm💧 loại d&agrave;nh ri&ecirc;ng cho b&eacute; để gi&uacute;p vệ sinh c&aacute; nh&acirc;n, thay t&atilde; cho b&eacute; dễ d&agrave;ng.&nbsp;Khăn ướt, nước muối sinh l&yacute;, tăm b&ocirc;ng, rơ lưỡi, kem chống hăm, b&ocirc;ng y tế, m&aacute;y h&uacute;t sữa, b&igrave;nh sữa🍼, nước v&agrave; dụng cụ rửa b&igrave;nh sữa cũng cần chủ động mang theo ph&ograve;ng trường hợp mẹ sinh mổ chưa thể cho trẻ b&uacute;🤱 trực tiếp. Bố mẹ cần chuẩn bị đồ đi sinh cho b&eacute; đầy đủ v&agrave; sẵn s&agrave;ng trước thời gian dự sinh 1 th&aacute;ng để chủ động v&agrave; kịp thời khi mẹ🤰 c&oacute; dấu hiệu chuyển dạ đột ngột.<hr>Bố cần chuẩn bị đồ đi sinh như thế n&agrave;o?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1501/d8ee266d-da4e-4fee-b0a1-a9d7d8c0a6ee.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Ngo&agrave;i mẹ v&agrave; b&eacute;, bố👨 cũng cần chuẩn bị đồ đi sinh để kịp thời mang đi, gi&uacute;p hỗ trợ chăm s&oacute;c mẹ v&agrave; b&eacute; thuận tiện hơn. Thời điểm nhập viện🏥 c&oacute; thể đến bất ngờ khiến mẹ kh&ocirc;ng kịp chuẩn bị tốt c&aacute;c loại giấy tờ nhập viện. Bố n&ecirc;n chủ động cầm theo chứng minh nh&acirc;n d&acirc;n, thẻ bảo hiểm y tế📝, bản sao sổ hộ khẩu, sổ kh&aacute;m thai, kết quả x&eacute;t nghiệm thai kỳ của mẹ.Để thanh to&aacute;n viện ph&iacute; v&agrave; c&aacute;c chi ph&iacute; ph&aacute;t sinh kh&aacute;c, tiền💵 v&agrave; thẻ atm💳 phải lu&ocirc;n lu&ocirc;n sẵn s&agrave;ng. Bố h&atilde;y lu&ocirc;n mang theo điện thoại📱 v&agrave; sạc dự ph&ograve;ng để tr&aacute;nh trường hợp điện thoại hết pin kh&ocirc;ng thể li&ecirc;n lạc.Những ng&agrave;y mẹ ở viện th&igrave; bố l&agrave; người lu&ocirc;n phải t&uacute;c trực chăm s&oacute;c. V&igrave; vậy bố cũng cần c&oacute; gối nằm🛏️, khăn tắm, b&agrave;n chải, kem đ&aacute;nh răng, khăn lau mặt ri&ecirc;ng để tiện ở lại chăm s&oacute;c cho mẹ v&agrave; b&eacute;. Ngo&agrave;i ra, bố cần chuẩn bị 1 đ&ocirc;i gi&agrave;y👟 hoặc d&eacute;p thoải m&aacute;i để c&oacute; thể đi lại dễ d&agrave;ng.

Những bước đầu tiên chuẩn bị đồ đi sinh

Tại sao b&agrave; bầu sắp sinh n&ecirc;n ăn trước khi chuyển dạ?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1343/6c09aceb-d055-414e-94a4-69c30051a35f.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Tử cung sẽ hoạt động tốt v&agrave; mạnh mẽ nhất khi được cung cấp đầy đủ nước🌊 v&agrave; chất dinh dưỡng. V&igrave; vậy, ăn đồ ăn nhẹ hoặc nhấm nh&aacute;p một &iacute;t thức ăn lỏng🥘 c&oacute; thể gi&uacute;p bạn cảm thấy thoải m&aacute;i v&agrave; th&iacute;ch ứng tốt hơn với qu&aacute; tr&igrave;nh chuyển dạ, đặc biệt l&agrave; trong giai đoạn đầu l&agrave; l&uacute;c bạn c&oacute; thể cảm thấy đ&oacute;i nhất.&nbsp;B&ecirc;n cạnh đ&oacute;, nếu kh&ocirc;ng cung cấp đủ năng lượng cơ thể mẹ🤰 bầu bắt đầu ph&aacute; vỡ m&ocirc; mỡ của ri&ecirc;ng m&igrave;nh để đạt được năng lượng cần thiết. Hiện tượng n&agrave;y được gọi l&agrave; ketosis. Ketosis l&agrave; phản ứng tự nhi&ecirc;n của cơ thể đối với bất kỳ hoạt động thể chất k&eacute;o d&agrave;i n&agrave;o, chẳng hạn như chuyển dạ. Ketosis c&oacute; thể g&acirc;y đau đầu v&agrave; khiến mẹ🤰 cảm thấy mệt mỏi. Ngo&agrave;i ra, t&igrave;nh trạng ketosis nhẹ được coi l&agrave; b&igrave;nh thường trong chuyển dạ.<hr>B&agrave; bầu sắp sinh n&ecirc;n bổ sung g&igrave; v&agrave;o thực đơn?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1343/37833caf-067f-44ff-afff-23606da8547f.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Thực phẩm dễ ti&ecirc;u h&oacute;aKhi bước v&agrave;o qu&aacute; tr&igrave;nh chuyển dạ, cơ thể của bạn sẽ hướng nhiều năng lượng v&agrave; sức lực🔋 cho việc sinh con v&agrave; lượng calo d&ugrave;ng cho những mục đ&iacute;ch kh&ocirc;ng quan trọng chẳng hạn như ti&ecirc;u h&oacute;a bị cắt giảm đ&aacute;ng kể.&nbsp;C&aacute;c b&aacute;c sĩ thường đề nghị rằng mẹ bầu c&oacute; thể chọn những m&oacute;n ăn nhẹ, dễ chuẩn bị cũng như kh&ocirc;ng g&acirc;y kh&oacute; khăn khi ti&ecirc;u h&oacute;a như b&aacute;nh quy, b&aacute;nh m&igrave;🥐, sữa chua, ngũ cốc, mỳ ống...Thực phẩm chứa nhiều proteinH&atilde;y ch&uacute; &yacute; lựa chọn những thực phẩm dồi d&agrave;o protein để cơ thể bạn c&oacute; đủ năng lượng phục vụ cho việc sinh con. Sữa chua, đậu phộng v&agrave; ph&ocirc; mai🧀 sẽ dễ d&agrave;ng được hấp thụ v&agrave; cung cấp cho cơ thể lượng protein cần thiết. Do đ&oacute;, d&ugrave; mẹ bầu🤰 kh&ocirc;ng c&oacute; cảm gi&aacute;c đ&oacute;i th&igrave; cũng h&atilde;y d&ugrave;ng một &iacute;t thức ăn đ&atilde; được khuyến kh&iacute;ch nh&eacute;.Carbohydrate tổng hợpB&aacute;nh m&igrave; ngũ cốc hoặc b&aacute;nh quy gi&ograve;n, m&igrave; ống, gạo n&acirc;u🌾 v&agrave; bột yến mạch l&agrave; những nguồn cung cấp chất xơ v&agrave; carbohydrate tốt. Ch&uacute;ng gi&uacute;p bổ sung năng lượng cần thiết cho mẹ bầu trong thời gian chuyển dạ. C&aacute;c thực phẩm tr&ecirc;n nếu kết hợp với protein sẽ tạo ra một bữa ăn🥣 bổ dưỡng. Tr&aacute;i c&acirc;yC&aacute;c loại tr&aacute;i c&acirc;y như nho🍇, dưa v&agrave; chuối được đ&aacute;nh gi&aacute; l&agrave; những m&oacute;n ăn tốt, dễ ti&ecirc;u h&oacute;a ph&ugrave; hợp với b&agrave; bầu sắp sinh. H&atilde;y cắt ch&uacute;ng th&agrave;nh những mẩu nhỏ v&agrave; th&ecirc;m một v&agrave;i loại hạt nếu th&iacute;ch. Hơn thế nữa, để dễ d&agrave;ng hơn cho bạn trong việc ăn uống nếu cơn đau bụng cứ diễn ra, mẹ bầu c&oacute; thể xay ch&uacute;ng th&agrave;nh sinh tố🥤 hoặc để ph&ugrave; hợp với khẩu vị của bản th&acirc;n.Ngo&agrave;i ra, vi&ecirc;̣c giữ nước cho cơ th&ecirc;̉ cũng quan trọng như việc cung cấp năng lượng để phục vụ cho qu&aacute; tr&igrave;nh chuyển dạ. Bạn c&oacute; thể uống nước lọc, nước &eacute;p hoa quả🥤 ph&ugrave; hợp với mẹ bầu (nguy&ecirc;n chất hoặc pha lo&atilde;ng t&ugrave;y theo sở th&iacute;ch), 1 ch&eacute;n 🥣 canh s&uacute;p nếu muốn.

Bà bầu sắp sinh nên ăn gì để vượt cạn thành công?

Những dấu hiệu thường thấy tr&ecirc;n cơ thể mẹ bầu sắp sinh<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1454/2a2faec8-4b1c-4c74-aa79-c7f0e4dfa27e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Sa bụng, bụng bầu tụt xuốngV&agrave;o giai đoạn cuối thai kỳ, thai nhi sẽ dịch chuyển dần v&agrave;o khu vực khung xương chậu để chuẩn bị cho qu&aacute; tr&igrave;nh chuyển dạ. Khi dấu hiệu n&agrave;y xuất hiện, mẹ🤰 c&oacute; thể sẽ cảm thấy dễ thở hơn v&igrave; thai nhi kh&ocirc;ng c&ograve;n ch&egrave;n &eacute;p phổi. Thế nhưng, thai nhi tụt xuống khung chậu sẽ g&acirc;y &aacute;p lực l&ecirc;n cổ tử cung v&agrave; đ&egrave; l&ecirc;n b&agrave;ng quang, khiến mẹ muốn đi tiểu🚾 nhiều hơn.C&aacute;c cơn co thắt chuyển dạTrong thai kỳ, c&aacute;c cơn co thắt tử cung đ&ocirc;i khi vẫn xuất hiện nhưng kh&ocirc;ng đều v&agrave; xuất hiện thưa thớt. Đ&acirc;y gọi l&agrave; co thắt sinh l&yacute; Braxton Hicks hay dấu hiệu sắp sinh giả.Trong khi đ&oacute;, c&aacute;c cơn co thắt chuyển dạ thật sự sẽ mạnh, đau khiến mẹ kh&oacute; chịu😫 v&agrave; kh&ocirc;ng giảm d&ugrave; mẹ đ&atilde; thay đổi tư thế. Tần suất c&aacute;c cơ co diễn ra li&ecirc;n tục v&agrave; đều đặn hơn, khoảng 5 đến 7 ph&uacute;t sẽ c&oacute; một cơn co k&eacute;o d&agrave;i từ 30 gi&acirc;y đến 1 ph&uacute;t. V&igrave; vậy, sẽ kh&ocirc;ng qu&aacute; kh&oacute; để mẹ🤰 c&oacute; thể ph&acirc;n biệt giữa co thắt sinh l&yacute; với co thắt chuyển dạ.Tần suất c&aacute;c cơn g&ograve; tử cung diễn ra mạnh v&agrave; li&ecirc;n tục c&oacute; thể khiến mẹ bầu run rẩy d&ugrave; kh&ocirc;ng cảm thấy lạnh🥶. Nhưng đừng lo lắng, hiện tượng run rẩy l&agrave; c&aacute;ch tự nhi&ecirc;n của cơ thể để giảm căng thẳng. Để giảm t&igrave;nh trạng n&agrave;y, h&atilde;y ng&acirc;m m&igrave;nh🛀 trong nước ấm hoặc nhờ chồng massage.<hr>Những thay đổi b&ecirc;n trong cơ thể khi mẹ sắp sinh<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1454/2cc5a0b1-50ea-4ae8-9295-45bd106b37d9.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Dịch nhầy cổ tử cung thay đổi&nbsp;Dịch💦 nhầy t&iacute;ch tụ ở cổ tử cung trong thời kỳ mang thai dần tạo th&agrave;nh n&uacute;t nhầy cổ tử cung. V&agrave;o khoảng tuần 37 đến 40 trong thai kỳ, &acirc;m đạo sẽ tiết ra nhiều dịch hơn v&agrave; nhớt hơn. Đ&acirc;y l&agrave; hiện tượng mất n&uacute;t nhầy cổ tử cung khi n&uacute;t nhầy c&oacute; t&aacute;c dụng bịt k&iacute;n cổ tử cung để ngăn ngừa vi&ecirc;m nhiễm đ&atilde; bong ra nhằm &#39;dọn đường&#39; cho b&eacute; y&ecirc;u👶 ch&agrave;o đời.Dịch nhầy c&oacute; thể c&oacute; m&agrave;u trong suốt, sẫm m&agrave;u hoặc m&agrave;u hồng hoặc c&oacute; một &iacute;t m&aacute;u🩸. Đ&acirc;y l&agrave; dấu hiệu cho thấy trong một v&agrave;i ng&agrave;y tới, b&eacute; y&ecirc;u của bạn sẽ ch&agrave;o đời.&nbsp;Nhưng cũng c&oacute; kh&ocirc;ng &iacute;t thai phụ🤰 phải chờ đến 1 đến 2 tuần sau đ&oacute; mới thực sự chuyển dạ. Lưu &yacute; l&agrave; nếu dịch nhầy chứa nhiều m&aacute;u (gần giống như khi c&oacute; kinh), đ&acirc;y c&oacute; thể l&agrave; một dấu hiệu chuyển dạ nguy hiểm, cần phải đến bệnh viện🚑 ngay.Vỡ nước ốiThai nhi ph&aacute;t triển trong một t&uacute;i chất lỏng bảo vệ gọi l&agrave; t&uacute;i ối. Khi t&uacute;i ối vỡ nghĩa l&agrave; con đ&atilde; sẵn s&agrave;ng ch&agrave;o đời. Tuy nhi&ecirc;n, kh&ocirc;ng phải ai cũng sẽ gặp phải dấu hiệu n&agrave;y. Nghi&ecirc;n cứu cho thấy, chỉ c&oacute; khoảng 8 đến 10% thai phụ🤰 vỡ ối trước khi sinh.T&ugrave;y mỗi người m&agrave; lượng nước ối c&oacute; thể chảy ra nhiều hay &iacute;t, chảy th&agrave;nh d&ograve;ng hay nhỏ từng giọt💧. Nước ối th&ocirc;ng thường trong suốt hoặc c&oacute; m&agrave;u v&agrave;ng nhạt.&nbsp;Khi vỡ ối, bạn n&ecirc;n ghi lại thời gian vỡ ối, lượng nước ối, m&agrave;u sắc của nước ối v&agrave; đ&ecirc;́n bệnh viện🏥 ngay. Chuy&ecirc;n gia cũng khuy&ecirc;n rằng bạn n&ecirc;n đặc biệt thận trọng hơn nếu bị vỡ ối non trước tuần thai thứ 37.Cổ tử cung gi&atilde;n nở&nbsp;Cổ tử cung sẽ bắt đầu mở, gi&atilde;n ra v&agrave; mỏng đi trong v&agrave;i ng&agrave;y hoặc một v&agrave;i tuần trước khi bạn chuyển dạ. Khi đi kh&aacute;m thai định kỳ, b&aacute;c sĩ👨&zwj;⚕️ c&oacute; thể đo lường, theo d&otilde;i độ gi&atilde;n v&agrave; mỏng của cổ tử cung th&ocirc;ng qua việc thăm kh&aacute;m🩺 &acirc;m đạo. Trung b&igrave;nh cổ tử cung phải mở 10cm mới được xem l&agrave; dấu hiệu sắp sinh.<hr>Một số dấu hiệu thường gặp kh&aacute;c khi mẹ sắp sinh<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1454/46353b26-0f28-4750-b92c-8f146b075915.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Ti&ecirc;u chảyNhững thay đổi trong chế độ ăn uống, nội tiết tố, việc sử dụng thuốc💊&hellip; đều c&oacute; thể khiến bạn gặp phải t&igrave;nh trạng ti&ecirc;u chảy trong thai kỳ. Tuy nhi&ecirc;n, khi đ&atilde; sắp đến ng&agrave;y dự sinh, ti&ecirc;u chảy🚾 c&oacute; thể l&agrave; dấu hiệu cho thấy bạn n&ecirc;n chuẩn bị ch&agrave;o đ&oacute;n b&eacute; y&ecirc;u ch&agrave;o đời.Nguy&ecirc;n nh&acirc;n của t&igrave;nh trạng ti&ecirc;u chảy khi sắp sinh l&agrave; do c&aacute;c hormone được tạo ra nhằm tạo thuận lợi cho sự ra đời của em b&eacute;👶 c&oacute; thể k&iacute;ch th&iacute;ch ruột của bạn hoạt động thường xuy&ecirc;n hơn. Điều n&agrave;y thường khiến bạn mệt mỏi v&igrave; mất nước nhưng kh&ocirc;ng cần lo lắng😟 v&igrave; đ&acirc;y l&agrave; phản ứng tự nhi&ecirc;n của cơ thể. Trong qu&aacute; tr&igrave;nh chuyển dạ, bạn cũng c&oacute; thể muốn đi vệ sinh.C&aacute;ch tốt nhất để giải quyết vấn đề n&agrave;y l&agrave; h&atilde;y uống nhiều nước🥛 để tr&aacute;nh mất nước. Nếu t&igrave;nh trạng ti&ecirc;u chảy qu&aacute; nghi&ecirc;m trọng, bạn n&ecirc;n đi kh&aacute;m để b&aacute;c sĩ c&oacute; những chỉ định y khoa th&iacute;ch hợp.Giảm c&acirc;n hoặc ngừng tăng c&acirc;nV&agrave;o cuối thai kỳ, c&acirc;n nặng của mẹ bầu🤰 thường ổn định hoặc thậm ch&iacute; c&oacute; thể giảm c&acirc;n. Điều n&agrave;y l&agrave; b&igrave;nh thường v&agrave; sẽ kh&ocirc;ng ảnh hưởng đến c&acirc;n nặng của em b&eacute;👶. Nguy&ecirc;n nh&acirc;n của hiện tượng n&agrave;y c&oacute; thể l&agrave; do lượng nước ối giảm đi v&agrave; chuẩn bị cho b&eacute; ra đời.Mệt mỏi v&agrave; muốn ngủ nhiều hơnBụng bầu ng&agrave;y c&agrave;ng to, g&acirc;y ch&egrave;n &eacute;p b&agrave;ng quang khiến bạn phải đi tiểu🚾 đ&ecirc;m thường xuy&ecirc;n n&ecirc;n kh&oacute; c&oacute; thể ngủ y&ecirc;n giấc mỗi đ&ecirc;m. Do đ&oacute;, nếu bất cứ khi n&agrave;o cảm thấy buồn ngủ😴, bạn n&ecirc;n tranh thủ chợp mắt dưỡng sức để c&oacute; sức khỏe cho giai đoạn quan trọng sắp tới.Ngược lại, ở giai đoạn n&agrave;y c&oacute; kh&ocirc;ng &iacute;t b&agrave; mẹ bỗng trở n&ecirc;n hoạt b&aacute;t🏋️&zwj;♀️, nhanh nhẹn một c&aacute;ch kh&aacute;c thường v&agrave; th&iacute;ch dọn dẹp nh&agrave; cửa v&agrave; chuẩn bị đồ👚 đi sinh hơn. Đ&acirc;y cũng c&oacute; thể xem l&agrave; một dấu hiệu sắp sinh khi bản năng l&agrave;m mẹ của bạn trỗi dậy v&agrave; bạn muốn chuẩn bị tốt nhất để ch&agrave;o đ&oacute;n b&eacute; y&ecirc;u👶 của m&igrave;nh.Bị chuột r&uacute;t v&agrave; đau lưng nhiều hơnKhi sắp sinh em b&eacute;, mẹ c&oacute; thể sẽ cảm thấy những cơn chuột r&uacute;t xuất hiện thường xuy&ecirc;n hơn v&agrave; t&igrave;nh trạng đau mỏi v&ugrave;ng lưng hoặc hai b&ecirc;n h&aacute;ng sẽ trở n&ecirc;n nghi&ecirc;m trọng hơn. Đặc biệt nếu đ&acirc;y l&agrave; lần đầu ti&ecirc;n mang thai🤰, c&aacute;c dấu hiệu n&agrave;y sẽ r&otilde; r&agrave;ng hơn. Nguy&ecirc;n nh&acirc;n của t&igrave;nh trạng n&agrave;y l&agrave; c&aacute;c cơ khớp ở v&ugrave;ng xương chậu v&agrave; tử cung ở giai đoạn cuối thai kỳ sẽ bị k&eacute;o căng ra chuẩn bị cho em b&eacute;👶 ra đời.Gi&atilde;n khớpTrong suốt thai kỳ, d&acirc;y chằng giữa c&aacute;c khớp xương🦴sẽ trở n&ecirc;n mềm hơn. Mẹ🤰 sẽ nhận ra điều n&agrave;y r&otilde; hơn khi chuẩn bị bước v&agrave;o giai đoạn sinh nở. L&uacute;c n&agrave;y, c&aacute;c khớp xương trở n&ecirc;n linh hoạt hơn để gi&uacute;p khung xương chậu mở rộng v&agrave; tạo điều kiện thuận lợi cho qu&aacute; tr&igrave;nh chuyển dạ.

Những dấu hiệu cho thấy con yêu sắp sửa chào đời

Chuẩn bị đồ đi sinh cho mẹ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1452/cdff16ee-a8c3-468f-ba27-8dbc4bba02a6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">&Aacute;o quầnTh&ocirc;ng thường mẹ sẽ c&oacute; trang phục d&agrave;nh cho thai phụ được cung cấp bởi bệnh viện. Tuy nhi&ecirc;n cũng cần chuẩn bị th&ecirc;m từ 1 - 2 bộ quần &aacute;o👚 để ph&ograve;ng v&agrave; mặc l&uacute;c xuất viện.&Aacute;o kho&aacute;c, khăn cho&agrave;ng, tất ch&acirc;n, mũ👒 tr&ugrave;m l&agrave; cần thiết, c&aacute;c mẹ sinh v&agrave;o m&ugrave;a lạnh n&ecirc;n chuẩn bị th&ecirc;m tất ch&acirc;n🧦 v&agrave; mũ tr&ugrave;m để giữ ấm cơ thể hoặc khi th&acirc;n nhiệt giảm trong v&agrave; sau khi sinh. Quần l&oacute;t🩲 giấy n&ecirc;n chuẩn bị 7 đến 10 c&aacute;i l&agrave; vừa đủ cho cả sinh thường v&agrave; sinh mổ.Băng vệ sinh, miếng l&oacute;t chống thấmChuẩn bị đồ đi sinh đừng qu&ecirc;n băng vệ sinh d&ugrave;ng cho mẹ sau sinh, đặc biệt l&agrave; những mẹ sinh mổ c&oacute; thể cần d&ugrave;ng nhiều hơn. Mẹ n&ecirc;n chuẩn bị 3 t&uacute;i👝 băng vệ sinh. Ngo&agrave;i ra, n&ecirc;n chuẩn bị trước 5 miếng l&oacute;t chống thấm, loại d&ugrave;ng cho bệnh nh&acirc;n phẫu thuật.Vật dụng c&aacute; nh&acirc;nĐể lu&ocirc;n chủ động v&agrave; kịp thời, trước khi sinh mẹ n&ecirc;n mang theo khăn tắm, sữa tắm🧼, dầu gội, dung dịch vệ sinh phụ nữ, lược, b&agrave;n chải, kem đ&aacute;nh răng, nước s&uacute;c miệng. Chuẩn bị đồ đi sinh cho mẹ đầy đủ sẽ đảm bảo vệ sinh c&aacute; nh&acirc;n cho mẹ được thuận tiện sau khi sinh, gi&uacute;p ph&ograve;ng chống vi&ecirc;m nhiễm, đặc biệt l&agrave; những mẹ sinh mổ.<hr>Chuẩn bị đồ đi sinh cho b&eacute;<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1452/9b584c06-eb76-4e28-b0ef-2b8a92933fc5.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">&Aacute;o quần v&agrave; gối mền d&agrave;nh cho trẻ sơ sinhB&eacute; mới sinh sẽ cần khoảng 5 đến 7 bộ quần &aacute;o để thay đổi. Mũ tr&ugrave;m, tất tay v&agrave; tất ch&acirc;n🧦 cũng cần 3 đến 5 c&aacute;i, đ&ocirc;i mỗi loại. Gối mền d&agrave;nh ri&ecirc;ng cho trẻ👶 l&agrave; kh&ocirc;ng thể thiếu khi đi sinh.C&aacute;c loại khănMẹ h&atilde;y mang theo 2 đến 3 chiếc khăn mềm để quấn v&agrave; giữ ấm cho trẻ. Khăn sữa cũng cần cỡ 10 c&aacute;i để lau cho trẻ khi cần, đặc biệt l&agrave; sau khi tắm🚿. Ngo&agrave;i ra cũng cần c&oacute; 3 đến 5 chiếc khăn x&ocirc; d&ugrave;ng để tắm v&agrave; lau cho trẻ khi tắm.Miếng l&oacute;t, t&atilde; vải, t&atilde; giấy sơ sinhC&aacute;c loại t&atilde; mẹ🤰 n&ecirc;n chuẩn bị 1 t&uacute;i hoặc 15 - 30 c&aacute;i, c&oacute; thể cần d&ugrave;ng nhiều hơn trong những ng&agrave;y đầu sau sinh (do trẻ đi ph&acirc;n su). Đừng qu&ecirc;n mang theo khoảng 10 miếng l&oacute;t chống thấm loại d&agrave;nh ri&ecirc;ng cho b&eacute;👶 để gi&uacute;p vệ sinh c&aacute; nh&acirc;n, thay t&atilde; cho b&eacute; dễ d&agrave;ng.&nbsp;Vật dụng vệ sinh c&aacute; nh&acirc;n kh&aacute;c d&agrave;nh cho trẻKhăn ướt, nước muối sinh l&yacute;, tăm b&ocirc;ng, rơ lưỡi, kem chống hăm, b&ocirc;ng y tế cũng lu&ocirc;n cần thiết đối với b&eacute; sau sinh. Ngo&agrave;i ra, m&aacute;y h&uacute;t sữa, b&igrave;nh sữa🍼, nước v&agrave; dụng cụ rửa b&igrave;nh sữa cũng n&ecirc;n chuẩn bị v&agrave; ph&ograve;ng trường hợp mẹ sinh mổ chưa thể cho trẻ b&uacute;🤱 trực tiếp.<hr>Bố cần chuẩn bị g&igrave; khi mẹ đi sinh?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1452/7ace25ec-6a16-4c41-92d7-709edfc1008d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">Giấy tờ nhập viện của mẹ&nbsp;Thời điểm nhập viện c&oacute; thể đến bất ngờ khiến mẹ kh&ocirc;ng kịp chuẩn bị tốt c&aacute;c loại giấy tờ📃 nhập viện. Bố n&ecirc;n chủ động cầm theo chứng minh nh&acirc;n d&acirc;n, thẻ bảo hiểm y tế, bản sao sổ hộ khẩu📕, sổ kh&aacute;m thai, kết quả x&eacute;t nghiệm thai kỳ của mẹ.Tiền mặt, thẻ ATMĐể thanh to&aacute;n viện ph&iacute; v&agrave; c&aacute;c chi ph&iacute; ph&aacute;t sinh kh&aacute;c, tiền💵 v&agrave; thẻ atm💳 phải lu&ocirc;n lu&ocirc;n sẵn s&agrave;ng. Bố h&atilde;y lu&ocirc;n kiểm tra kĩ tiền mặt v&agrave; c&aacute;c loại thẻ trong v&iacute; nh&eacute;.&nbsp;Điện thoại, sạc dự ph&ograve;ngMẹ nhập viện n&ecirc;n điện thoại📱 của bố phải lu&ocirc;n ở trong trạng th&aacute;i c&oacute; thể li&ecirc;n lạc, ph&ograve;ng những trường hợp khẩn cấp. Bố👨 h&atilde;y lu&ocirc;n mang theo điện thoại v&agrave; sạc dự ph&ograve;ng để tr&aacute;nh trường hợp điện thoại hết pin kh&ocirc;ng thể li&ecirc;n lạc.Vật dụng c&aacute; nh&acirc;n&nbsp;Những ng&agrave;y mẹ ở viện th&igrave; bố l&agrave; người lu&ocirc;n phải t&uacute;c trực chăm s&oacute;c. V&igrave; vậy bố cũng cần c&oacute; gối nằm🛏️, khăn tắm, b&agrave;n chải, kem đ&aacute;nh răng, khăn lau mặt ri&ecirc;ng để tiện ở lại chăm s&oacute;c cho mẹ v&agrave; b&eacute;. Ngo&agrave;i ra, bố cần c&oacute; 1 đ&ocirc;i gi&agrave;y👟 hoặc d&eacute;p thoải m&aacute;i để c&oacute; thể đi lại dễ d&agrave;ng.

Danh sách chuẩn bị đồ đi sinh

Những bước đầu tiên chuẩn bị đồ đi sinh

Bà bầu sắp sinh nên ăn gì để vượt cạn thành công?

Những dấu hiệu cho thấy con yêu sắp sửa chào đời

Cần chuẩn bị những gì khi đi sinh

Danh sách chuẩn bị đồ đi sinh

Hiểu đúng hơn về các cơn gò tử cung

Mẹ bầu nên kiêng ăn gì trong 3 tháng cuối để thai nhi phát triển tốt?

Cách rặn và thở cho mẹ bầu khi sinh thường

Sinh mổ nhiều lần có hại cho cơ thể mẹ không?

Những bước đầu tiên chuẩn bị đồ đi sinh

Mẹ bầu có nên vận động nhẹ để dễ sinh?

Tất tần tật các phương pháp sinh cho lần đầu làm mẹ

Những khoảnh khắc nhạy cảm mà mẹ bầu gặp khi đi sinh

Lưu ý chuẩn bị đồ đi sinh mùa đông