&nbsp; &nbsp; &nbsp;สำหรับผู้ที่ต้องการจะมีเจ้าตัวน้อย👶 หากเข้ารับการตรวจร่างกายแล้วได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหมัน คงเป็นประเด็นที่ดับฝันว่าที่คุณพ่อคุณแม่👫อย่างมากพอสมควรเลยใช่ไหมคะ แต่อันที่จริงแล้วการเป็นหมันนั้นไม่ได้บ่งบอกว่าจะมีบุตรไม่ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่จะมีวิธีการอย่างไรบ้าง ที่สามารถสานฝันว่าที่คุณพ่อคุณแม่ในอนาคตที่เป็นหมันแต่ยังอยากมีเจ้าตัวน้อย เราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁&zwj;♀️<hr>เทคนิคการผสมเทียมสำหรับคนเป็นหมัน<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4532/5cbb9263-452e-4df9-a128-4b564e8973df.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨เทคนิค &ldquo;เทเซ่&rdquo; (TESE) สำหรับคุณผู้ชายเทคนิคนี้มาจากชื่อเต็มว่า Testicular Sperm Extraction ค่ะ วิธีการเริ่มต้นด้วยการที่แพทย์👨&zwj;⚕️จะตัดเนื้อเยื่อบางๆเล็กๆ จนไปถึงการใช้เข็มดูดเนื้อเยื่อปริมาณเล็กน้อยจากอัณฑะออกมา จากนั้นจึงทำการบดเนื้อเยื่อเหล่านั้นเพื่อหาตัวอสุจิซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ของคุณผู้ชายนั่นเอง แล้วนำตัวอสุจิเหล่านี้ไปเก็บรักษาไว้ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เพื่อใช้ในเทคนิคผสมเทียมอื่นๆต่อไป พูดง่ายๆก็คือการสกัดหรือแยกตัวอสุจิออกมาเก็บไว้รอใช้ประโยชน์นั่นเองค่ะ โดยเทคนิคนี้จะเหมาะกับคุณผู้ชาย👨ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาเกี่ยวกับท่อนำอสุจิ ไม่ว่าจะเป็นภาวะท่อนำอสุจิอุดตัน หรือไม่มีท่อนำอสุจิตั้งแต่กำเนิดค่ะ✨เทคนิค &ldquo;ปีซ่า&rdquo; หรือ &ldquo;เปซ่า&rdquo; (PESA) สำหรับคุณผู้ชายเทคนิคนี้มาจากชื่อเต็มว่า Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration ค่ะ หากดูจากชื่อจะเห็นว่าค่อนข้างยาว แต่หลักการนั้นคล้ายคลึงกับเทคนิค TESE ที่กล่าวไปก่อนหน้าเลยค่ะ โดยที่แพทย์จะนำเข็มฉีดยา💉แทงผ่านบริเวณอัณฑะเข้าไปในท่อน้ำเชื้อ ซึ่งเราก็พอจะเดาได้ใช่ไหมคะว่าบริเวณท่อใดก็ตามที่เป็นทางผ่านของน้ำเชื้อ มีโอกาสที่จะพบตัวอสุจิซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ของคุณผู้ชายอยู่แล้ว จากนั้นจึงดูดตัวอสุจิออกมาเก็บไว้ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์🧑&zwj;🔬 รอที่จะนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการผสมเทียมด้วยวิธีอื่นๆต่อไปค่ะ✨เทคนิค &ldquo;อิคซี่&rdquo; (ICSI) สำหรับคุณผู้หญิงสำหรับเทคนิคนี้ มีชื่อเต็มคือ Intracytoplasmic Sperm Injection ซึ่งหากแปลตามตัวเราก็อาจพอเดาออกใช่ไหมคะ ว่าเป็นการฉีดสเปิร์มหรือเจ้าตัวอสุจิ เข้าไปในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โดยตัวอสุจิที่นำมาฉีดนั้นก็เป็นเซลล์ที่ถูกคัดเลือกมาด้วยการใช้เทคนิค TESE และ PESA ในคุณผู้ชายตามที่กล่าวมาก่อนหน้านั่นเองค่ะ ซึ่งเทคนิคอิ๊คซี่นี้จะเหมาะกับคุณผู้หญิง👩ที่มีปัญหาเกี่ยวกับท่อนำไข่ ยกตัวอย่างเช่นภาวะท่อนำไข่ตีบตัน การทำอิ๊คซี่ก็จะช่วยให้ตัวอสุจิของคุณผู้ชายผสมกับเซลล์ไข่ของคุณผู้หญิงได้โดยไม่ต้องผ่านท่อนำไข่ค่ะ<hr>ข้อควรปฏิบัติหลังได้รับการรักษาหรือใช้เทคนิคผสมเทียม<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4532/e1c4f107-a98e-4214-952a-94a7acda72e3.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ข้อที่ 1️⃣ถึงแม้ในหลายๆเทคนิค ผู้ป่วยอาจใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติก็จริง แต่ก็ยังไม่ควรมีไลฟ์สไตล์ที่หักโหมจนเกินไปอยู่ดีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายอย่างหนัก🏋️&zwj;♀️ หรือการใช้แรงงานอย่างหนักข้อที่&nbsp;2️⃣ใช้ยา💊ตามที่แพทย์สั่ง&nbsp;ห้ามซื้อยาหรืออาหารเสริมรับประทานเองโดยพลการ ควรขอคำแนะนำจากแพทย์เจ้าของไข้ก่อนค่ะข้อที่&nbsp;3️⃣รับประทานอาหารที่มีสารอาหาร🍲เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในปริมาณและความถี่ที่เหมาะสมข้อที่&nbsp;4️⃣พักผ่อนให้เพียงพอ คำว่าพักผ่อนในที่นี้หมายถึงการทำกิจกรรมใดๆก็ตามที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย🧘&zwj;♀️ เพลิดเพลิน ลดความเครียดความวิตกกังวลในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการนอนหลับพักผ่อนอีกด้วย เพราะการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ😴นั่นเองค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณผู้อ่านคงจะเห็นแล้วนะคะ ว่าการที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหมันนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถมีเจ้าตัวน้อยได้ เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์🧑&zwj;🔬ในยุคปัจจุบันนั้นก้าวหน้าขึ้นมากแล้วค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องวิเคราะห์ว่าคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายประสบภาวะที่เทคนิคผสมเทียมอันหลากหลายสามารถแก้ปัญหาให้ได้หรือไม่ ซึ่งควรอยู่ในความดูแลและการตัดสินใจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน👩&zwj;⚕️ค่ะ

เป็นหมันแต่ยังอยากมีลูก ต้องทำอย่างไร?

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกสาวจะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกชาย ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่ามีรายงานคะแนนอาการการแพ้ท้องในลูกสาวสูงกว่าลูกชายจริง โดยจากคะแนน NVP 1-9 คะแนน อาการแพ้เมื่อตั้งครรภ์ลูกสาวอยู่ที่ 6.35 ในขณะที่ ลูกชายอยู่ที่ 6.04 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ&nbsp;<hr>อาการแพ้ท้องลูกสาวมีอะไรบ้าง?คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องที่รุนแรงงานวิจัยพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้รุนแรงจะได้ลูกสาวเนื่องจาก ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งหากเป็นลูกสาว คุณแม่จะสร้างฮอร์โมนที่ต่างชนิดออกไป ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอาการแพ้ท้อง🤰ที่หนักกว่าลูกชายนั่นเองค่ะ (งานวิจัยหนึ่งของ Dr. Michael Swiet จากสถาบันสูติศาสตร์และ นรีเวชวิทยา ในกรุงลอนดอน)คุณแม่จะมีอารมณ์แปรปรวนง่ายและต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ก็จะส่งผลให้คุณแม่มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่ายกว่าแต่ก่อน และเนื่องจากว่าคุณแม่ที่ท้องลูกสาวจะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูง📈กว่าจึงทำให้ มีอารมณ์เหวี่ยงง่ายกว่าลูกชาย แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยมากพอที่จะสนันสนุนทฤษฎีนี้<hr>อาการแพ้ท้องลูกสาวมีอะไรบ้าง?คุณแม่จะรู้สึกอยากกินของหวานมีความเชื่อว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกสาวนั้นจะอยากของหวาน🍫มากขึ้น ในขณะที่หากเป็นลูกชายจะอยากเค็ม อย่างไรก็ตามความเชื่อนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยมาสนันสนุนมากเท่าไหร่ค่ะ&nbsp;คุณแม่จะมีลักษณะของสะดือคว่ำอีกสิ่งที่สามารถสังเกตได้คือ หากท้องลูกสาว สะดือ🤰ด้านบนที่ยื่นออกมาจะมีลักษณะกลม หรือ สะดืออาจไม่ปูดออกมา และคุณแม่จะมีผิวสดใส นั่นอาจแปลว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ลูกสาวก็ได้เช่นกันค่ะ&nbsp;ลูกดิ้นน้อยในครรภ์ดิ้นแรงโดยทั่วไปแล้วทารกเพศหญิงจะดิ้นบ่อยกว่าเพศชาย เพราะทารกเพศหญิงมักมีความแข็งแรงกว่า ให้คุณแม่ลองนับว่าในเวลา 30 นาที🕛 ลูกน้อยดิ้นไปกี่ครั้ง หากมากกว่า 3 ครั้งนั่นอาจแปลว่าเป็นลูกผู้หญิงก็เป็นได้ค่ะ&nbsp;<hr>อาการแพ้ท้องลูกสาวมีอะไรบ้าง?ความเครียดมีผลต่อเพศของทารกในครรภ์งานวิจัยปี 2012 ได้ศึกษาหญิงตั้งครรภ์และพบว่า ฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือ ฮอร์โมนความเครียดนั้นมีผลต่อการเพศการเกิดของทารกในครรภ์ ซึ่งคุณแม่ที่มีระดับคอร์ติซอลสูง📈 จะมีโอกาสได้ลูกสาวมากกว่าลูกชายนั่นเองค่ะคุณแม่จะมีผมและผิวที่มันอาจจะเคยมีคนได้ยินความเชื่อว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ลูกสาวมักจะมีผิวหน้าและผมที่มัน👩‍🦰 ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ความเชื่อนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดนะคะ

อาการแพ้ท้องบ่งบอกถึงเพศของทารกในครรภ์ได้หรือไม่?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ความก้าวร้าว🤬นับเป็นสิ่งปกติที่แสดงออกในมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกันกับมนุษย์วัยเด็กหรือเจ้าตัวน้อย👶ของเรานั่นเองค่ะ ความก้าวร้าวจะเกิดจากอะไรได้บ้าง และเราจะรับมือกับความก้าวร้าวของลูกโดยไม่เสียความสัมพันธ์อันดีไปได้อย่างไร บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปค้นหาคำตอบกันค่ะ💁&zwj;♀️<hr>สาเหตุของความก้าวร้าวในวัยเด็ก<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4521/3e30d4c8-fa0e-417b-8bee-a5c9f73eb4c5.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">👉เป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว&nbsp;เช่น สมาชิกครอบครัว👨&zwj;👩&zwj;👧หรือผู้คนรอบตัวนั้นแสดงความก้าวร้าวออกมา จึงทำให้เจ้าตัวน้อยมีพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ หรืออาจลอกเลียนแบบมาจากสื่อต่างๆที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและใ้ช้ความรุนแรงก็ได้ค่ะ สำหรับการเสพสื่อ📺ต่างๆ คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ👉สภาพสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับให้ต้องแสดงความก้าวร้าวเด็กอยู่ในสภาพสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับให้ต้องแสดงความก้าวร้าว🤬เพื่อเป็นเกราะกำบังความรุนแรง หรือเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง🛡️นั่นเอง เด็กจึงคิดว่าสามารถใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ่นได้👉คุณพ่อคุณแม่อาจไม่มีเวลาอบรมคุณพ่อคุณแม่อาจไม่มีเวลาใกล้ชิดเพื่อแนะนำและอบรมเจ้าตัวน้อยในแง่ของการควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม เมื่อเด็กต้องประสบกับอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ ก็จะแสดงออกมาในรูปแบบของความก้าวร้าว🤬 ซึ่งเป็นสิ่งที่เลือกทำได้ง่ายที่สุดค่ะ👉คุณพ่อคุณแม่สร้างเงื่อนไขที่ผิดให้กับลูกผู้ปกครองสร้างเงื่อนไขที่ผิดให้กับลูก ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กอยากได้ของเล่น🪀แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมให้ในทีแรก เด็กอาจเลือกที่จะแสดงอาการหงุดหงิดก้าวร้าว จนเริ่มงอแง😭 ลงไปดิ้นอยู่ที่พื้นจนทำให้ผู้ปกครองเริ่มเขินอาย และซื้อของเล่นให้เด็กในที่สุด เด็กจึงเข้าใจว่าถ้าเลือกใช้วิธีนี้แล้วจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการอยู่เสมอจนติดเป็นนิสัยได้ค่ะ👉ลูกมีอาการทางจิตเด็กอาจมีอาการทางจิตหรือภาวะบางอย่างที่ส่งผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมอีกทอดหนึ่ง หรืออาจเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายและสารเคมีในสมอง🧠ค่ะ<hr>&nbsp;วิธีรับมือกับความก้าวร้าวของเด็ก<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4521/8ecf141d-a2db-4187-8fc7-2b88339e049e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">รับมือกับความก้าวร้าวของเด็กเล็ก👶1️⃣เบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก จากสิ่งที่เด็กกำลังสนใจอยู่ เช่นการอยากได้ของเล่น🚂 ก็อาจจะหาเหตุการณ์อื่นหรือสิ่งของอื่นๆมาเบี่ยงความสนใจของเด็กแทน2️⃣หากเจ้าตัวน้อยไม่ได้แสดงท่าทีงอแงเสียงดังอย่างรุนแรง อาจแสดงออกมาในรูปแบบของความไม่พอใจเล็กน้อย คุณพ่อคุณแม่สามารถยืนดูเฉยๆ🧍&zwj;♀️ ไม่ต้องโต้ตอบอะไรทั้งในทางบวกและทางลบ รอใจกว่าเด็กจะใจเย็นลง แล้วจึงเข้าไปกอด ปลอบ🤗 ใช้วิธีการพูดคุยปรับความเข้าใจว่าพฤติกรรมเมื่อสักครู่นั้นไม่สมควรอย่างไร3️⃣หากเด็กมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ทำร้ายคนอื่น จนไปถึงการทำลายสิ่งของรอบตัว ให้ผู้ปกครองเข้าไปหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นโดยทันที ในเด็กเล็กอาจใช้วิธีการล็อคตัวของเด็กไว้🔒👶 ในเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยอาจใช้วิธีต้อนให้เข้ามุมแทนเพื่อให้เด็กสงบสติอารมณ์ค่ะ4️⃣ห้ามให้ในสิ่งที่เด็กต้องการเมื่อเด็กเรียกร้องความสนใจด้วยการร้องไห้งอแงหรือแสดงความไม่พอใจ😡 เพราะจะเป็นการสร้างกระบวนการทางความคิดผิดๆให้เด็ก ว่าถ้าร้องไห้งอแง แสดงอาการไม่พอใจแล้วจะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการค่ะ5️⃣หากมีการตั้งกฎเกณฑ์📝ที่มีเหตุผลมารองรับความเหมาะสม และได้ทำความเข้าใจร่วมกับลูกไปแล้วว่าทำไมจึงต้องมีกฎเกณฑ์นี้เกิดขึ้น ควรใช้กฎนั้นอย่างสม่ำเสมอจนเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรหละหลวมโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้เด็กเล็กรู้สึกสับสนว่าจริงๆแล้วกฎเป็นสิ่งที่ต้องทำตามหรือไม่รับมือกับความก้าวร้าวในเด็กโต👦1️⃣อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า ว่าสาเหตุหนึ่งของความก้าวร้าวในเด็กก็คือพฤติกรรมเลียนแบบจากคนรอบตัว👨&zwj;👩&zwj;👧 ดังนั้นผู้ปกครองควรสงบสติอารมณ์ของตนเอง😌ก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ เพื่อให้เด็กสังเกตได้ถึงความไม่พอใจให้น้อยที่สุด และห้ามใช้ความรุนแรงหรือถ้อยคำรุนแรงในการรับมือกับลูกเด็ดขาด เพราะลูกจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ตนเองก็ทำได้เมื่อเกิดความไม่พอใจเช่นเดียวกันค่ะ2️⃣คุณพ่อคุณแม่ควรยอมรับในการมีอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก แต่ควรแสดงออกว่าไม่สามารถยอมรับอาการก้าวร้าวนั้นได้ และใช้โอกาสดังกล่าวในการแสดงถึงการจัดการอารมณ์และการแสดงออกที่เหมาะสมแทนค่ะ3️⃣สอนให้เจ้าตัวน้อยมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการมี Empathy💞นั่นเอง รวมไปถึงการสอนให้เด็กเข้าใจและเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นด้วยค่ะ4️⃣ระมัดระวังในการใช้คำพูดขณะอบรมลูก🗣️ คำพูดในกลุ่มตำหนิบางคำอาจทำให้เด็กฝังใจและเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้ในอนาคต และใช้คำพูดดีๆชมเชยเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม เพื่อสร้างเงื่อนไขการกระทำของเด็กว่า ถ้าตนเองประพฤติตัวดีก็จะได้คำชมจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ5️⃣หากเด็กกระทำความผิดลงไปแล้ว หลังอบรมเสร็จควรให้เด็กรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไปเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการตั้งเงื่อนไขให้เด็กทราบว่า &nbsp;ถ้าตนเองเลือกที่จะกระทำแบบนี้อีกในอนาคต ตนเองก็ต้องรับผิดชอบ🫡ในสิ่งที่ตนเองก่อค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่👫คงทราบแล้วนะคะว่าควรใช้วิธีใดในการรับมือเจ้าตัวน้อยของตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือห้ามใช้ความรุนแรงแต่ลูกโดยเด็ดขาดค่ะ นอกจากจะมีโอกาสสร้างแผลกาย🤕ให้ลูกแล้วยังเสี่ยงที่จะสร้างแผลใจให้ลูกด้วย ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เป็นพิษ อาจทำให้เด็กเติบโตไปเป็นโรคทางจิตเวชได้ค่ะ

ทำไมเด็กถึงก้าวร้าว

&nbsp; &nbsp; &nbsp;เชื่อว่าคุณแม่หลายๆท่านคงจะได้ยินเกี่ยวกับข่าวคลื่นความร้อนในช่วงเดือนเมษายนนี้ ทำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์คงจะมีความกังวลมากกว่าคนปกติ เพราะปริมาณเลือดภายในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น🩸 ก็เลยทำให้คนท้องขี้ร้อนกว่าคนปกตินั่นเอง นอกจากนี้หลอดเลือดขอคุณแม่ยังได้มีการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ จึงส่งผลให้ร่างกายเกิดความร้อนมากกว่าปกติ วันนี้ทางเราจะพาไปทราบกับวิธีรับมือกับคลื่นความร้อนสำหรับสตรีตั้งครรภ์ &nbsp;ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>โรคที่มาพร้อมกับความร้อนที่คุณแม่ต้องระวังโรคลมแดด (Heat stroke)คุณแม่ตั้งครรภ์มีโอกาสที่จะเกิดโรคลมแดด หรือที่เรียกกันว่าโลกฮีทสโตรกได้ง่ายกว่าคนปกติ จะมีลักษณะอาการคือไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก มีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย😪 ความดันเลือดต่ำ บางรายอาจจะมีอาการเบื่ออาหาร และปวดศีรษะร่วมด้วย หากคุณแม่ไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาการอาจจะหนักขึ้น จนทำให้เพ้อ ชัก เกิดอาการช็อก ไตล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ🫀 และร้ายแรงถึงขึ้นเกิดลิ่มเลือดอุดตันจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในที่สุด<hr>วิธีรับมือกับคลื่นความร้อนสำหรับสตรีตั้งครรภ์&nbsp;&nbsp;พยายามไม่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ&nbsp;หากคุณแม่ปล่อยให้ร่างกายเกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ💦 จากการที่พบเจอกับสภาวะอากาศที่ร้อนจัด🥵 ร่างกายจะขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้ปริมาณของเหลวในร่างกายลดลง ทำให้เลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน จนส่งผลให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้นั่นเองระวังเรื่องการเจ็บป่วยเป็นไข้หวัดหากคุณแม่เพราะว่าตัวเองเป็นไข้หวัดในขณะตั้งครรภ์😷 คุณแม่จะสังเกตได้ว่าอาการไข้หวัดจะหายช้ากว่าปกติ นั่นเป็นเพราะว่าระบบภูมิต้านทานในร่างกายของคุณแม่ลดต่ำลง และถึงแม้ว่าเชื้อหวัดนั้นจะไม่ได้ส่งผลต่อการติดเชื้อของทารก แต่ถ้าหากคุณแม่เป็นเชื้อไข้หวัดชนิดรุนแรง อาจจะส่งผลทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อภาวะแท้งได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์🤰&nbsp; &nbsp; &nbsp;นอกจากนี้อากาศร้อนยังมีส่งต่อทารกในครรภ์ด้วย ดังนั้นสรุปได้ว่าวิธีการป้องกันง่ายๆ คือ คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการออกไปที่อากาศร้อน☀️ หรืออยู่ในที่แดดจ้าเป็นเวลานาน และควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลักษณะเบาสบาย ระบายอากาศได้ดี เพราะจะทำให้เหงื่อที่ระบายออกทางรูขุมขนนั้นระบายออกได้ง่าย และไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่รัดรูปจนเกินไปด้วย เพราะจะทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัดได้👚 และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ คุณแม่ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอตลอดทั้งวัน โดยปริมาณที่แนะนำคือ 8-10 แก้วต่อวันค่ะ&nbsp;

สตรีมีครรภ์จะรับมือกับคลื่นความร้อนได้หรือไม่?

เมื่อคุณพบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ใจนึงคุณก็ดีใจสุดๆ อยากจะบอกญาติๆ และเพื่อนๆให้ได้ทราบข่าวดีในครั้งนี้ของคุณ แต่อีกใจนึง คุณก็คงอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าการตั้งครรภ์ของคุณปกติดีทุกอย่างแล้วค่อยประกาศให้ทุกคนทราบ ซึ่งความจริงแล้วการตัดสินใจนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความสบายใจของคุณแม่แต่ละคน&nbsp;<hr>เมื่อไหร่ที่ควรบอกคนรอบข้างว่าคุณตั้งครรภ์?ควรบอกสามีเมื่อไหร่ดี?บางคนอาจจะบอกสามีทันทีที่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์🤰 แต่ก็มีบางคนที่เลือกที่จะไม่บอกข่าวดีในทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดการแท้งไปซะก่อนหรือจากเหตุผลอื่นๆ ซึ่งทั้งตัวคุณและสามี👨จะต้องใช้เวลาในการวางแผนให้พร้อมกับชีวิตใหม่ที่จะเกิดมา รวมถึงปรับตัวและให้เวลากับตนเองควรจะบอกคนอื่นๆเมื่อไหร่ดี?คุณและสามีสามารถใช้เวลาเพื่อให้พร้อมก่อนที่จะบอกคนอื่นๆ เมื่อคุณและสามีพร้อมและสบายใจที่จะตอบคำถาม📰ของทุกคนที่จะกระหน่ำเข้ามาแล้วคุณก็สามารถบอกข่าวกับคนรอบข้างได้ ซึ่งหลายๆคนก็บอกข่าวดีกับคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทก่อน คุณก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่และกำลังใจ💞มากมายเลยล่ะคะ&nbsp;<hr>ควรบอกเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเมื่อไหร่ดี?ควรบอกเจ้านายให้ทราบเมื่อไหร่ดี?เจ้านายเป็นบุคคลที่สำคัญที่เราควรจะบอกให้ได้รับรู้ เพราะเขาจะได้ไม่มอบหมายงานที่มีความเสี่ยง⚡ต่อบุคคลที่กำลังตั้งครรภ์มาให้คุณ และเมื่อใกล้คลอดเขาจะได้ทราบว่าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องลาคลอดค่ะควรบอกเพื่อนร่วมงานเมื่อไหร่จึงจะดี?เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก คุณแม่จะอาการแพ้ท้องรวมถึงมีอารมณ์แปรปรวนจึงทำให้คนรอบข้างเดาได้ไม่ยาก แต่หากคุณยังคิดไม่ออกว่าจะบอกกับเพื่อนร่วมงานว่าอย่างไร คุณอาจจะเลือกบอกว่าเพื่อนร่วมงานที่สนิท👩‍💼ก่อนได้ค่ะ แต่หากคุณต้องการจะเก็บเป็นความลับก็ไม่จำเป็นต้องบอกไปก็ได้ค่ะ&nbsp;ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่จะบอกข่าวดีให้ทุกคนทราบในที่ทำงาน คุณจำเป็นจะต้องบอกเจ้านายให้ทราบก่อน เพราะหากปล่อยให้ท่านไปเซอร์ไพร์พร้อมๆกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆแล้วล่ะก็ เจ้านายอาจจะมองว่าเราไม่ให้เกียรติก็เป็นได้ค่ะ🙎ซึ่งแต่ละคนก็มีการบอกต่อที่แตกต่างกันไป บางคนก็เลือกที่จะบอกแบบตัวต่อตัว บางคนก็เลือกที่จะใช้สื่อออนไลน์กระจายข่าว📱 ซึ่งไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเลือกบอกข่าวดีนี้ด้วยวิธีไหนก็ตาม เมื่อคุณบอกออกไปแล้ว คุณก็จะได้รับคำอวยพรและได้รับคำแนะนำต่างๆ จากคนรอบข้าง บิลลี่ก็ขอดีใจกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ!

เมื่อใดที่ควรบอกคนรอบข้างว่าคุณตั้งครรภ์



저는 둘째맘이기도 하지만, 직업적으로 영유아돌연사를 많이 접하기도 해요.

그 중에 가장 높은 비율로 차지하는건 질식사에요!

보통 초산인 부모님들은 아기 침대 예쁘게 꾸미신다고 베개나 쿠션, 인형 등을 구비하시죠!
저도 첫째때 그렇게 했었는데요.. 

아직 뒤집기를 못하는 신생아들은 괜찮지만, 뒤집기 시작하면 안전한 수면환경을 만들어 주셔야해요.

유투브나 인스타 짤에도 많이 올라오는, 침대사이 원목 침대 틈새, 커다란 이불과 푹신한 베개, 바디필로우, 인형은 질식사 위험을 높힙니다.

잘 모르시는 분들도 있겠지만, 뒤집기방지템이라고 사용하는 덮는 좁쌀베개류(머미ㅋㅋ), 바디필로우류(ㄹㄹ스, 허그ㄱ 등등), 그리고 속싸개류(스와들 제품)은 뒤집기 시작하면 다 치워주셔야해요.

신생아땐 침대에 가드는 다 갖춰져있고 침대안에 아기만 덩그러니 눕히셔야합니다.

Q. 그럼 아기 이불은 안덮나요?
A. 아직은 어린 신생아기때문에 이불은 필요 없지만, 체온유지를 위해서라면, 뒤집기 전까진 속싸개류, 뒤집고 나서는 발 막힌 수면조끼(슬리핑백)를 입혀주세요.

Q. 부모와 한 침대에서 자도 되나요?
A. 같은 공간에서 자더라도 침구류와 공간은 분리해 주시는게 좋아요. 부모의 침구류나 잠결에 아기를 누를 수 있기 때문이에요.

Q. 아기방 분리수면은 언제부터?
A. 미국소아과협회의 기준은 6개월 미만은 X, 추천하는 시기는 만12개월 부터라고 합니다.

(참조: https://youtu.be/F7xscdc8zAk?si=8Oi8_iKi0yL2LoZG)



첫째 수면교육을 공부하면서 알게된 유용한 영상들 공유해 드려요! 수면교육은 아직은 이르지만 이제 서서히 아기용품을 준비하실테니 도움 되셨으면 좋겠어요!!


안전한 수면환경:
https://youtu.be/HyOd48rGFw0?si=a3IWe89jRkUBs5Zl

영유아돌연사:
https://youtu.be/HyOd48rGFw0?si=a3IWe89jRkUBs5Zl

https://youtu.be/aYBr8uXOmU4?si=yg4x07pu7os5NP6t

https://youtu.be/ZraWQzTtjdI?si=gzMt1PuJ1jjSa1VM


수면아이템 추천vs 비추천:
https://youtu.be/HyOd48rGFw0?si=a3IWe89jRkUBs5Zl


++ 베이비빌리 포스팅

베이비빌리: 영아 돌연사 증후군 예방법 https://prod.billyapi-global.com/post/3641

베이비빌리: 영유아 돌연사 예방, 분리 수면만이 답인가요? https://prod.billyapi-global.com/post/4171

영유아돌연사에 대해서

몸에 둘둘 말릴 수 있는 큰 이불, 푹신한 매트리스 등등 첫째 키워본 엄마들은 얼마나 위험한 것들인지 알죠... 요즘 다들 서양처럼 집오자마자 다른 방에 두고 문닫고 나와서 재우던데 돌 될때까지는 수면때 정말 잘 봐야한다는점..... 공감합니다 

늘 좋은 정보 감사해용☺️👍 
아직 침대 꺼내기 전이지만 인형이랑 쿠션은 같이 두지말아야겠네욤! 

모로반사 때문에 입히는 속싸개와 스와들업은 괜찮은 거겠죠? 스와들업 많이 물려받아서 들고 있거든요ㅎㅎ

좋은 정보 감사합니다 ! 애기 이불 안되는지 처음 알았네요  .. 신생아이불 살뻔

우와 상세하게 다 적어주시고! 덕분에 많은걸 알게 됐어요! 감사합니다 ㅎㅎ 

초산이라 아기용품 이제 막 준비중이였는데 너무 좋은정보 감사합니다👍🥲

초산이라 걱정이 많은데 이렇게 좋은 정보를 주셔서 감사해요!!👍👍

헐 이불세트 샀는데...이불은 언제쯤부터 덮어주는게 좋을까요😂위험할뻔 했네요ㅜㅜ정보 감사합니다

안녕하세요. 엄빠님! 오늘의 베동 BEST글로 선정되셔서 댓글 남겨드려요. 😍 ✨상품(빌리쇼핑 3,000원 쿠폰)✨은 금주 내로 지급해드릴 예정이며, 상품 수령을 위해 작성자(나)가 표기된 베동글 캡쳐본 + 이 댓글의 캡쳐본을 카카오톡 고객센터로 보내주세요! 커뮤니티 이용 약관에 따라 남겨주신 소중한 글은 베이비빌리 마케팅에 활용될 수 있는 점 참고 부탁드립니다. 감사합니다💗

ตามหัวข้อเลยค่ะ ตอนนี้เบบี๋ 8 เดือน 7 วันแล้ว แม่กับพ่อพยายามที่จะเช็ดลิ้นให้ ช่วงก่อนหน้านี้ยังพอเช็ดทำความสะอาดได้บ้าง แต่ช่วงนี้กลับไม่ยอมเปิดปากให้เลย แม่กังวลกลัวว่าลูกจะเป็นเชื้อราที่ลิ้น เพราะกินข้าวกับนมไปแล้วดูแลความสะอาดช่องปากไม่ได้เลย แม่ๆ พ่อๆ ทุกท่านรบกวนขอคำแนะนำด้วยนะคะ🙏🙏🙏ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

ทำยังไงดี ลูกไม้ยอมอ้าปากให้เช็ดลิ้นเลย

ทำไมลูกชายติดแม่มากกว่าพ่อทั้งที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

จะหายแพ้ท้องตอนกี่วีคคะ ตอนนี้15 วีคแล้วยังไม่มีวี่แววจะหายเลยค่ะ ทรมานมาก กินน้ำเปล่ายังอ้วกเลยค่ะ ใครมียาแนะนำไหมคะ

หายแพ้ท้อง

การปั่นจักรยาน🚲นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้วยังเป็นการใช้เวลาร่วมกันของครอบครัวและสร้างสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ผู้ปกครองหลายๆท่านอาจกำลังสงสัยวันที่จริงแล้วเราสามารถสอนลูกขับจักรยานได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ และควรจะเตรียมอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ<hr>ข้อดีของการปั่นจักรยาน<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2730/67003bde-760c-4c46-8496-804f9ee87b69.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ใครที่กำลังคิดว่าการให้ลูกปั่นจักรยาน🚲ดูอันตรายและไม่ค่อยช่วยเสริมสร้างพัฒนาการต่างๆของลูกเท่ากับการให้เล่นกีฬาอย่างอื่น จริงๆแล้วจักรยานเพิ่มทักษะทางสมองและทางร่างกายได้มากมายหลายอย่างดังนัเสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังคิดว่าการปั่นจักรยาน🚲นั้นดูไม่ปลอดภัย และคงไม่ได้ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการอื่น ๆ ของลูกน้อยของคุณมากเท่ากับกีฬาประเภทอื่น คุณกำลังคิดผิด เพราะในความจริงแล้ว การปั่นจักรยานนั้นช่วยเพิ่มทักษะทั้งทางร่างกาย และการสั่งการของสมองได้มากมาย โดยทักษะที่ลูกน้อยของคุณจะได้รับจากการปั่นจักรยานมีดังต่อไปนี้✨การทรงตัว✨การตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง✨การบังคับเลี้ยว✨การถีบ✨การคิดคำนวณว่าควรใส่พลังประมาณไหนในการเคลื่อนตัว✨ฝึกการประสานระบบการทำงานของตา มือและขา✨การคิดคำนวณว่าจะหยุดอย่างไร✨ฝึกให้ลูกมีความอดทนในการฝึก✨เสริมสร้างความมั่นใจ✨ฝึกให้ลูกสามารถตัดสินใจได้✨ฝึกให้ลูกมีความพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค<hr>สามารถให้ลูกเริ่มขี่จักรยานได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2730/87c972be-66aa-4616-88f3-cc832dcee8ea.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีการพัฒนาทางร่างกายและทักษะที่แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะบอกได้ว่าควรให้ลูกเริ่มขี่จักรยาน🚲ได้เมื่อไหร่ แต่จริงๆแล้วเราสามารถให้ลูกเริ่มขี่จักรยานได้เมื่อลูกเข้าสู่วัยหัดเดิน แต่อาจจะต้องให้ขี่จักรยานที่เหมาะสมกับวัย ดังนี้อายุ 18-24 เดือนเด็กบางคนในวัยนี้มีความพร้อมที่จะฝึกปั่นจักรยาน🚲แล้ว แต่ก่อนที่จะฝึกให้ลูกปั่น คุณพ่อคุณแม่ควรมั่นใจว่าลูกสามารถเดินด้วยขาทั้งสองข้างอย่างมั่นคงก่อนนะคะ โดยหากให้ลูกปั่นจักรยานในช่วงนี้ควรซื้อจักรยานที่มี 4 ล้อเพื่อให้อีก 2 ล้อช่วยพยุงให้ลูกเคลื่อนที่ได้ โดยไม่ล้ม และค่อยๆให้ลูก👶ได้เรียนรู้วิธีการบังคับทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา รวมถึงให้ลูกกะแรงถีบที่เหมาะสม เพื่อให้ส่งแรงจักรยานให้ไปด้านหน้าได้ เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้วก็ค่อยถอดล้อเสริมค่ะอายุ 2-3 ขวบเมื่อลูกอายุได้ประมาณ 2-3 ขวบแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถถอดล้อเสริมได้ เพราะในวัยนี้ลูก👶จะสามารถทรงตัวได้ด้วยตนเองมากขึ้น เมื่อลูกลองฝึกจนชำนาญ ก็ค่อยซื้อจักรยาน🚲 แบบจริงจังให้ลูกขี่นะคะ&nbsp;<hr>สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสอนลูกปั่นจักรยาน<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2730/6d1296b5-d85a-43e7-bb0a-3c4937fa4802.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เตรียมความพร้อมก่อนที่จะถอดล้อเสริมของจักรยาน🚲และให้ลูกเริ่มปั่นคุณพ่อคุณแม่จะต้องแน่ใจว่าลูกมีความพร้อมที่จะปั่นแล้วหรือยัง รวมถึงจะต้องแต่งตัวลูกให้มีความปลอดภัย ใส่หมวกกันน็อค🪖 สนับศอก สนับเข่า เพื่อป้องกันอันตราย และแน่นอนว่าการฝึกในครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นคุณจะต้องให้เป็นลูกทำใจเพื่อให้พร้อมกับการฝึกนี้จริงๆเช็กความพร้อมของจักรยานก่อนให้ลูกขึ้นขี่จักรยาน🚲 คุณพ่อคุณแม่ควรเช็คให้มั่นใจก่อนว่าจักรยานอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมขึ้นขี่หรือไม่ โดยให้ดูจากหลักดังต่อไปนี้ค่ะ&nbsp;✨เช็คว่าเบรคทำงานๆได้ดีหรือไม่&nbsp;✨มีที่จับที่มั่นคง✨เช็คลมยางว่าไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป✨ดูโซ่สายพาน ว่าไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป&nbsp;✨เบาะนั่งจะต้องอยู่ในระดับพอดีสำหรับลูก✨ไม่มีรอยผุพัง✨มีการขันน๊อตติดอย่างดีนอกจากนั้นจะต้องดูด้วยว่าขนาดของจักรยานนั้นเหมาะกับความสูงของลูกหรือไม่ เพราะในการปั่นจักรยานขา🦵ของลูกควรจะยืนได้ถึงพื้น เพราะเวลาที่จะหยุดปั่นหากกดเบรคไม่เป็นก็ยังสามารถใช้เท้ายันที่พื้นได้ค่ะ&nbsp;สถานที่เมื่อลูกเริ่มฝึกการขี่จักรยาน🚲แบบไม่มีล้อพยุง คุณพ่อคุณแม่ควรหาพื้นที่ที่เป็นลาดยางที่มีความกว้าง และมีพื้นที่เรียบ โดยไม่มีการจราจรของรถยนต์ อาจใช้สนามของโรงเรียน สนามกีฬา หรือลานกิจกรรม และจะต้องแน่ใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือทางแคบจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหากจะพาลูกไปปั่นจักรยานในสถานที่ที่เป็นพื้นหญ้า🌿ควรจะทำเมื่อลูกสามารถขี่จักรยานได้คล่องแล้ว เพราะการขับจักรยานไปบนหญ้าจะต้องอาศัยแรงและการบังคับที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วค่ะ

ฝึกให้ลูกปั่นจักรยานได้ตอนกี่ขวบนะ?

ลำพังแค่การตั้งครรภ์ก็ทำให้คุณแม่อยากพักผ่อนและรู้สึกเหนื่อยล้ามากอยู่แล้ว หากคุณแม่มีอาการเจ็บป่วยร่วมด้วยก็จะยิ่งทำให้คุณแม่เพลียมากขึ้นไปอีก ในช่วงตั้งครรภ์🤰คุณแม่จะสามารถดูแลตัวเองได้อย่างไรบ้างเราไปดูกันค่ะ<hr>ดูแลตัวเองอย่างไรดีเมื่อป่วยขณะตั้งครรภ์เมื่อคุณแม่เริ่มไม่สบายเมื่อคุณแม่เริ่มรู้สึกไม่สบายหรือเป็นไข้ คุณแม่สามารถดูแลตัวเองโดยการสำรวจตัวเองว่าคุณแม่เป็นไข้🤒เพราะอะไร และควรรีบไปหาหมอเพื่อตรวจว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส🦠 เพราะในช่วงที่ตั้งครรภ์🤰จะเป็นช่วงที่ภูมิต่ำกว่าปกติอยู่แล้ว&nbsp;เมื่อทราบสาเหตุแล้วเมื่อทราบสาเหตุว่าป่วยจากอะไรควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นเช่นการอยู่ใกล้ผู้ป่วยหรือการออกไปพบเจอคนพลุกพล่าน หากมีอาการเจ็บคอ ไข้สูง เมื่อยล้ามากกว่าปกติ หรือหายใจลำบากควรตรวจหาเชื้อโควิด 19🦠 และรีบพบแพทย์ด่วนค่ะหากมีอาการป่วยเล็กๆน้อยๆ&nbsp;หากคุณแม่มีอาการป่วย🤒เล็กๆ น้อยๆ สามารถนอนรักษาตัวเองที่บ้านได้ พักผ่อนให้เพียงพอและทานน้ำให้มากเพราะร่างกายจะต้องการน้ำมากกว่าปกติ แต่ไม่ควรใช้ยารักษาตัวเองโดยไม่มีใบสั่งจากแพทย์นะคะ ระหว่างที่ป่วยคุณแม่🤰ควรหลีกเลี่ยงการทานเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และควรดื่มน้ำแร่ หรือ น้ำเปล่า<hr>อย่าลืมสิ่งพื้นฐานเหล่านี้ด้วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แม้จะป่วยก็อย่าลืมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามทานให้ครบ 5 หมู่🥘 และ พยายามทานอาหารปรุงสุก อาหารเหล่านี้มีวิตามินและแร่ธาตุที่จะช่วยให้คุณแม่กลับมามีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม แล้วยังเป็นประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กในครรภ์อีกด้วยค่ะ&nbsp;นอนหลับให้เพียงพอการนอนหลับ💤เป็นยาวิเศษจากธรรมชาติ เมื่อได้รับการนอนหลับที่เพียงพอ ร่างกายจะสามารถต่อสู้กับอาการหวัดได้ ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะป่วยหรือไม่ป่วย การนอนหลับให้เพียงพอก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อสุขภาพของคุณแม่แลดะลูกน้อยค่ะ&nbsp;<hr>วิธีรับมือกับอาการต่างๆ&nbsp;เป็นไข้ตัวร้อน...หากมีไข้ต่ำๆ🌡️ (น้อยกว่า 38 องศาเซลเซียส) ให้คุณแม่หาผ้าชุดน้ำอุณหภูมิห้องมาเช็ดตัว หรือหากมีคนในครอบครัวมาช่วยเช็ดได้ก็อาจขอให้ช่วยได้ พยายามเช็ดตัวแบบย้อนรูขุมขนเพื่อให้รูขุมขนเปิดระบายความร้อน พยายามเช็ดตัวบ่อยๆ และทานน้ำให้เพียงพอ รวมถึงนอนหลับให้มากพอ&nbsp;อาการคัดจมูกคุณแม่คนไหนที่มีอาการคัดจมูก😮‍💨นอนไม่หลับและไม่ได้มีอาการที่รุนแรงมากนัก ให้ลองหาหมอนมาหนุนหัวให้สูงกว่าปกติหน่อย หรืออาจใช้น้ำมันหอมระเหยมาดม เพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น แต่หากมีอาการรุนแรงก็ให้ไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดค่ะเจ็บคออาจลองหายาอมมาอม หรือลองจิบน้ำอุ่นๆ หรือจะนำน้ำผึ้ง🍯มาผสมมะนาว🍋แล้วจิบทานก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ค่ะ&nbsp;

ควรดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อไม่สบายระหว่างตั้งครรภ์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ใกล้จะถึงช่วงตรุษจีนแล้ว🧧 ถือเป็นวันสำคัญและวันพิเศษ เพราะการเริ่มปีใหม่ด้วยสิ่งที่ดีตามความเชื่อของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนจะนำพามาซึ่งโชคลาภตลอดทั้งปี ดังนั้นวันนี้ทางเราจึงได้รวบรวม ข้อห้ามทำ และข้อควรทำเพื่อเสริมความเฮงช่วงตรุษจีนสำหรับคุณแม่ จะมีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>9 สิ่งที่ห้ามทำในช่วงวันตรุษจีน มีดังต่อไปนี้1. ห้ามทำความสะอาดบ้าน&nbsp;สำหรับคนจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน กวาดบ้าน🧹 ถูบ้าน หรือ ทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้นเปรียบเสมือนการกวาดโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนบ้านจะสกปรกก็ตาม แต่หากมีความจำเป็นที่ต้องทำความสะอาดบ้านจริงๆ คุณแม่ก็ใช้วิธีกวาดเศษฝุ่นต่างๆ ไปไว้ที่มุมบ้านก่อน แล้วหลังจากตรุษจีนค่อยทำความสะอาดนั่นเอง หรืออาจจะเลือกทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนวันตรุษจีนหนึ่งวัน เพื่อเตรียมความพร้อมของบ้านไว้สำหรับต้อนรับญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมบ้านนั่นเองค่ะ2. ห้ามสระผมหรือตัดเพราะในภาษาจีน คำว่า “ผม” จะมีการพ้องเสียง และ พ้องรูป เช่นเดียวกันกับคำว่า “มั่งคั่ง” ในภาษาจีน ดังนั้นการสระ หรือตัดผม💇🏻‍♀️ในวันตรุษจีน ก็จะถูกแปลได้ว่าเป็นการนำความมั่งคั่ง หรือความร่ำรวยออกไปจากชีวิตของคุณแม่เองนั่นค่ะ3. ห้ามกินโจ๊ก&nbsp;คนจีนจะไม่กินโจ๊กเป็นอาหารเช้าของวันตรุษจีน เพราะมีความเชื่อว่าโจ๊ก🥣เป็นอาหารของคนยากจน ดังนั้นการกินโจ๊กในวันตรุษจีนก็เหมือนการทำตัวเหมือนคนจน และการทำเช่นนี้จะเป็นการขัดขวางไม่ให้ตัวเองมีเงินทองและร่ำรวย&nbsp;4. ห้ามให้บุคคนอื่นยืมเงิน&nbsp;วันตรุษจีนถือเป็นวันมงคล ดังนั้นคนจีนจะมีความเชื่อว่าไม่ควรมีเงินรั่วไหล💸ออกจากกระเป๋าโดยใช้เหตุ และยังมีความเชื่อว่าการให้ยืมเงินในวันตรุษจีน จะทำให้มีคนเข้ามายืมเงินตลอดทั้งปี และจะมีแต่เรื่องเสียเงินตลอดชีวิตไม่จบไม่สิ้นนั่นเองค่ะ ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรให้ใครยืมเงินนะคะ5. ห้ามใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีดำเด็ดขาดในวันตรุษจีนไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีดำเด็ดขาด เพราะสองสีนี้จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตาย การสวมชุดสีขาว-ดำในวันตรุษจีนจึงหมายถึงลางร้าย ดังนั้นคนจีนจึงนิยมสวมเสื้อผ้าสีแดง🔴 เพราะสีแดงถือเป็นสีที่จะนำความโชคดีมาให้แก่ชีวิต<hr>และรวมไปถึงห้ามทำสิ่งเหล่านี้อีกด้วย6. ห้ามทำสิ่งของหล่นแตก&nbsp;มีความเชื่อที่ว่าการทำของแตก เช่น ทำจาน ทำแก้ว🍷 หรือ กระจก แตกในตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่สื่อว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือจะมีปัญหาเกิดขึ้น รวมไปถึงอาจจะมีาการดสียชีวิตของบุคคลในครอบครัว ดังนั้นคุณแม่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้สิ่งของแตก หรือชำรุด แต่ถ้าหากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ จะมีวิธีแก้เคล็ดโดยการพูดว่า “luo di kai hua” &nbsp;ซึ่งแปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบาน🌸เมื่อตกลงพื้นนั่นเองค่ะ7. ห้ามคนอื่นเข้าห้องนอน หรือเข้าห้องนอนของคนอื่น&nbsp;การที่บุคคลอื่นเข้ามาในห้องนอน🛌ของเราหรือเราเข้าไปในห้องนอนของคนอื่นในวันตรุษจีนนั้นถือว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเปรียบเสมือนการนำพาโชคร้ายของเขามาให้ตัวเรา ดังนั้นถือเป็นอีกสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งนะคะ&nbsp;8. ห้ามพูดจาหยาบคายหรือมีการทะเลาะเบาะแว้ง&nbsp;ไม่ควรพูดคำหยาบ🤬 พูดส่ิงที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดเรื่องความตาย ภูตผีปีศาจเป็นเด็ดขาด👻 เนื่องจากการพูดสิ่งไม่ดีในวันตรุษจีนจะนำเรื่องโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมถึงไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายคำว่าตาย&nbsp;9. ห้ามซื้อรองเท้าคู่ใหม่&nbsp;ในวันตรุษจีนห้ามซื้อรองเท้าใหม่👠 เพราะคำว่า “รองเท้า” ออกเสียงว่า “Hai” ซึ่งคล้ายกับเวลาเราถอนหายใจ คนจีน จึงเชื่อกันว่าการซื้อรองเท้าใหม่ในวันตรุษจีนจะเป็นลางร้ายที่ทำให้ชีวิตของคุณแม่ต้องเจอกับความเหน็ดเหนื่อยตลอดปีนั่นเอง&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบกันแล้วใช่ไหมคะถึงสิ่งที่ห้ามทำในช่วงปีใหม่ หรือที่เรียกกันว่าวันตรุษจีนนั่นเอง🧧 จากความเชื่อในเรื่องสิ่งที่ห้ามทำนั้นล้วนเชื่อมโยงกับความโชคดี และเงินทองที่จะไหลเข้ามาในชีวิต หากคุณแม่ได้กระทำสิ่งดังกล่าว อาจจะนำพาโชคร้าย หรือเป็นการขัดขวางไม่ให้โชคลาภเข้ามาในชีวิตนั่นเองค่ะ

สิ่งที่ห้ามทำช่วงตรุษจีนมีอะไรบ้าง มาดูกัน!

애기가 통잠 자기 시작하면서
기저귀가 ㅠㅠ .. 문제에요
자다 깨면 쪽쪽이 주는데.. 기저귀를 10시간씩 차오 있으니..... 

그래도 중간에 깰때마다 ㅠㅠ 기저귀를 갈면 잠이 깨버리니까요 ㅠㅠ 다들 어떻게 하세요??

잘 때 기저귀 (통잠) 어쩌나요..??

저는 새벽수유할때 뭣 모르고 일어날때마다  기저귀부터  먼저 갈아주고 수유하고 재우다가 밤기저귀의 의미를 알고 8시간씩 채우는데 괜찮더라구요^^~~~~
지금 몇개월 통잠 자는거에요?
저희아가는 116일인데 아직 통잠 안자거든요ㅠ

팸퍼스 베이비드라이 쓰는데 12시간 정도는 안새고 있더라구요! 애기가 찝찝할것 같은데 잠 방해하는것 보단 나을것 같아서 그냥 둡니다 ㅠㅠ

밤기저귀사용해요ㅠ 46일차때부터 10시간이상씩 자서 맥드 사용했다가 괜찮앗는데 어느순간부터 너무 새서 여러 밤기저귀 샘플 테스트중이에요ㅠㅠ 지금 킨도뉴올데이 샘플 테스트중인데 5일째 안새고 만족해서 정착할거같아요ㅠ

안새고 있어요~펨퍼스쓰고있어요 오히려 자면서 쉬는 잘안하는거같애요 막 일어났을때보다 눈떠서 5분지났을때 더 기저귀가 흥건해요 ㅎ

하기스 맥스드라이? 그거 사용해요!  평균 10시간 통잠아이에요 

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์🤰เป็นขั้นตอนสำคัญที่ร่างกายของสตรีมีครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ แม้ว่าโดยทั่วไปจะแนะนำให้ออกกำลังกายในช่วงเวลานี้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจวิธีการที่เหมาะสม สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ระมัดระวังที่จำเป็น และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้วยนะคะ💁‍♀️<hr>ประโยชน์ของการออกกำลังกายในช่วงไตรมาสที่สามการออกกำลังกายเป็นประจำระหว่างตั้งครรภ์มีประโยชน์มากมาย รวมถึงสุขภาพหัวใจ🫀และหลอดเลือดที่ดีขึ้น อารมณ์ ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น และความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการจัดการน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ลดอาการไม่สบายทั่วไป เช่นปวดหลังและบวม และเตรียมร่างกายสำหรับการคลอดและการคลอดลูกค่ะวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม<ul><li dir="ltr">ก่อนที่จะเริ่มหรือดำเนินกิจวัตรการออกกำลังกายใดๆ ต่อไป จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ👩‍⚕️ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยสำหรับคุณและลูกน้อยของคุณนะคะ</li><li dir="ltr">การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ เลือกใช้การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำซึ่งง่ายต่อการต่อข้อต่อของคุณแม่ เช่น การเดิน🚶‍♀️ ว่ายน้ำ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือโยคะก่อนคลอด กิจกรรมเหล่านี้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพหัวใจและหลอดเลือด เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และส่งเสริมความยืดหยุ่นค่ะ</li><li dir="ltr">การออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน รวมการออกกำลังกายอุ้งเชิงกรานหรือที่เรียกว่า Kegels เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่รองรับกระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ของคุณ ช่วยควบคุมกระเพาะปัสสาวะ🚽ได้และทำได้ทุกที่ทุกเวลาค่ะ</li><li dir="ltr">หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ขณะที่การตั้งครรภ์ดำเนินไป ให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องนอนหงายเป็นเวลานาน ตำแหน่งนี้สามารถกดดันเส้นเลือดใหญ่ที่เรียกว่า vena cava ซึ่งอาจลดการไหลเวียนของเลือด🩸ไปยังมดลูกค่ะ</li><li dir="ltr">รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นและสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม ดื่มน้ำปริมาณมากทั้งก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เลือกใช้เสื้อผ้าที่หลวมและระบายอากาศได้ดี👗และรองเท้าที่กระชับเพื่อให้สวมใส่สบายและป้องกันความร้อนสูงเกินไปค่ะ<hr>สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงขณะออกกำลังกายในไตรมาสที่ 3</li><li dir="ltr">กิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่ง🏃‍♀️หรือการกระโดด เนื่องจากอาจทำให้ข้อต่อตึงและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บค่ะ</li><li dir="ltr">การออกกำลังกายที่กดดันหน้าท้อง&nbsp;งดกิจกรรมที่กดดันหน้าท้องโดยตรง เช่น ท่าโยคะ🧘‍♀️ ซิทอัพ หรือท่ากระทืบค่ะ</li><li dir="ltr">การออกแรงมากเกินไป&nbsp;ฟังร่างกายของคุณและหลีกเลี่ยงการออกแรงมากเกินไป หยุดพักเมื่อจำเป็น และอย่าผลักดันตัวเองเกินขีดจำกัดค่ะ🚨</li><li dir="ltr">กีฬาที่มีการสัมผัสตัว หลีกเลี่ยงกีฬาที่มีการสัมผัสตัวหรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการล้มหรือได้รับบาดเจ็บที่ช่องท้อง เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือการขี่ม้าค่ะ🐎<hr>หากคุณแม่ไม่ออกกำลังกายในระหว่างตั้งครรภ์ อาจมีผลกระทบหลายประการต่อทั้งคุณและลูกน้อย</li><li dir="ltr">ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากเกินไป&nbsp;หากไม่มีการออกกำลังกาย คุณอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะมีน้ำหนักเกิน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อน เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง🩸 และไม่สบายตัวค่ะ</li><li dir="ltr">ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อลดลง&nbsp;หากไม่ออกกำลังกาย คุณอาจประสบกับกล้ามเนื้ออ่อนแรงและความยืดหยุ่นลดลง⬇️ ทำให้มีความท้าทายมากขึ้นในระหว่างการคลอดลูกค่ะ</li><li dir="ltr">ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์&nbsp;หากไม่มีการออกกำลังกาย คุณอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อทั้งคุณและลูกน้อยค่ะ🤰</li><li dir="ltr">มีโอกาสท้องผูกและท้องอืดมากขึ้น&nbsp;การออกกำลังกายช่วยในการย่อยอาหารและช่วยป้องกันอาการท้องผูก💩และท้องอืด การขาดการออกกำลังกายอาจทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายในระหว่างตั้งครรภ์ค่ะ</li><li dir="ltr">ลดสมรรถภาพหัวใจและหลอดเลือด หากไม่มีการออกกำลังกาย คุณอาจพบว่าสมรรถภาพของหัวใจและหลอดเลือดลดลง ทำให้คุณเหนื่อยล้ามากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ค่ะ😰</li><li dir="ltr">เพิ่มความเสี่ยงต่ออารมณ์แปรปรวนและสุขภาพจิตลดลง หากไม่มีการออกกำลังกาย คุณอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอารมณ์แปรปรวน🤬 ความวิตกกังวล และทำให้สุขภาพจิตโดยรวมลดลงค่ะ</li></ul>

การออกกำลังที่ปลอดภัยสำหรับแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสสาม

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณพ่อคุณแม่สงสัยไหมว่า หัวใจลูกเต้นตอนกี่สัปดาห์ และตำแหน่งในการฟังเสียงหัวใจของทารกในครรภ์อยู่ตรงไหนกันนะ วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลมาให้คุณพ่อคุณแม่ทราบแล้วค่ะ ไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลย<hr>หัวใจลูกเต้นตอนกี่สัปดาห์?👶อายุครรภ์ 4 – 5 สัปดาห์โดยปกติแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจลูกน้อยในครรภ์ เมื่อมีอายุครรภ์ได้ประมาณ 4 – 5 สัปดาห์ โดยอัตราการเต้นของหัวใจ🫀จะเต้นเร็วหรือไม่เร็วนั้นขึ้นอยู่กับอายุครรภ์&nbsp;- ในช่วงอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ อัตราการเต้นของหัวใจของทารกจะอยู่ที่ประมาณ 80-85 ครั้ง ต่อนาที เท่า ๆ กับหัวใจของคุณแม่🤰 หลังจากนั้นหัวใจของทารกจะเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์- ในช่วงอายุครรภ์ 8 - 9 สัปดาห์ หัวใจทารกในครรภ์จะเต้นเร็วกว่าคุณแม่เยอะ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 175 ครั้ง ต่อนาที ซึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ทำการอัลตร้าซาวน์เพื่อฟัง🩺เสียงหัวใจของลูก หลังจากนั้นหัวใจของลูกจะเต้นช้าลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับปกติ ช่วงกึ่งกลางการตั้งครรภ์ ที่ประมาณ 120-180 ครั้ง ต่อนาที จนกระทั่ง ช่วง 10 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ แต่ยังคงมีอัตราการเต้นของหัวใจ ที่มากเป็น 2 เท่าของคุณแม่อยู่<hr>ทำอย่างไรถึงจะได้ยินเสียงหัวใจทารกในท้อง?🩺ใช้เครื่องช่วยฟังการเต้นของหัวใจทารกเครื่อง Ultrasonic Doppler สามารถช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ยินการเต้นของหัวใจ🫀ทารกได้ โดยสามารถได้ยินในช่วงสัปดาห์ที่ 10 หรือ 12🩺ใช้หูฟังของแพทย์ธรรมดา (Stethoscope)คุณพ่อคุณแม่ที่ใช้หูฟังของแพทย์ฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารก จะสามารถได้ยินเมื่ออายุครรภ์ 17-19 สัปดาห์ โดยจะได้ยินเสียงหัวใจทารก เป็นเสียงตุบ ๆ หรือคล้ายกับเสียงติ๊ก ๆ ของนาฬิกา⏰ที่อยู่ใต้หมอน ที่มีจังหวะสม่ำเสมอ และเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ก็จะได้ยินเสียงชัดเจนมากขึ้น🩺Real time sonography&nbsp;คือ การตรวจการเต้นของหัวใจทารก และการเคลื่อนไหวของทารก หลังจากเดือนที่ 2 ของการตั้งครรภ์🤰🩺Echocardiography&nbsp;เป็นเครื่องที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถฟัง👂เสียงเต้นของหัวใจทารกได้ตั้งแต่ 48 วัน หลังประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย&nbsp;<hr>ตำแหน่งที่สามารถได้ยินการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์✨หากส่วนนำของทารกคือก้น&nbsp;คุณพ่อคุณแม่จะได้ยินเสียงหัวใจในตำแหน่งสูงกว่าระดับสะดือ✨หากส่วนนำของทารกคือศีรษะ&nbsp;คุณพ่อคุณแม่จะได้ยินเสียงหัวใจในตำแหน่งต่ำกว่าสะดือ✨หากท้ายทอยอยู่ทางด้านหน้าข้างขวาของช่องเชิงกราน&nbsp;ตำแหน่งที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ยินเสียงหัวใจสามารถฟังเสียงหัวใจได้ชัดเจน คือ ด้านขวา🫱ของหน้าท้องคุณแม่✨หากท้ายทอยอยู่ทางด้านหน้าข้างซ้ายของช่องเชิงกราน&nbsp;ตำแหน่งที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ยินจะได้ยินเสียงหัวใจได้ชัดเจน คือ ด้านซ้าย🫲ของหน้าท้องคุณแม่<hr>ทำไมไม่ได้ยินเสียงหัวใจของทารกในครรภ์คุณพ่อคุณแม่อาจมีความกังวลว่า ทำไมไม่ได้ยินเสียงหัวใจของลูกในท้องเลย สาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงหัวใจของทารก มีดังต่อไปนี้💫ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ที่ใช้ฟังเสียงลูกในท้อง&nbsp;ก่อนซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ฟังเสียงลูกในท้อง คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมสังเกตฉลาก🏷️ข้างกล่องว่าอุปกรณ์นั้นสามารถได้ยินเสียงลูกในท้องช่วงสัปดาห์ที่เท่าไหร่ เพราะอุปกรณ์แต่ละชนิด จะช่วยให้ได้ยินเสียงหัวใจทารกในช่วงเวลาที่ต่างกัน💫ใช้อุปกรณ์ไม่ถูกตำแหน่งของทารกในครรภ์การที่จะได้ยินเสียงของทารกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของลูกน้อยในมดลูก ถ้าคุณพ่อคุณแม่หาตำแหน่งลูกไม่เจอ ก็จะไม่สามารถตรวจการเต้นหัวใจพบนั่นเอง และการการนับการดิ้นของลูก👶 มีส่วนสำคัญมากสำหรับคุณแม่ที่มีอายุประมาณ 28 สัปดาห์&nbsp;💫ทารกมีความผิดปกติหากคุณแม่ไม่ได้ยินเสียงหัวใจลูก พร้อม ๆ กับมีเลือดออก🩸 อาจจะเกิดจากการที่ทารกในครรภ์มีความผิดปกติ ดังนั้นคุณแม่ควรไปตรวจเช็กกับคุณหมออีกที หากคุณหมอบอกว่าไม่พบเสียงหัวใจลูกเช่นกัน มีโอกาสที่คุณแม่มีจะแท้งสูง&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณพ่อคุณแม่สามารถฟังเสียงหัวใจของเจ้าตัวน้อยเต้นได้ตามช่วงอายุครรภ์ และตำแหน่งของทารกภายในครรภ์ ในช่วงที่คุณแม่ท้องเริ่มแก่ การนับการดิ้นของทารกนั้นมีความสำคัญต่อพัฒนาการของทารกภายในครรภ์เป็นอย่างมาก หากคุณแม่ตนเองไม่ได้ยินเสียงหัวใจของลูก ควรไปพบแพทย์👩‍⚕️เพื่อทำการตรวจทันที

ฟังเสียงหัวใจลูกเต้น ฟังได้ตอนอายุครรภ์กี่สัปดาห์?

늦은 착상이셧던분 많으시겟죠..?

마지막생리일기준이면 오늘 6주1일인데
오늘병원갓다왓는데.. 아기집만보고왓어요
ㅠㅠㅠ 착상이 늦어서 그런거겟죠?
2주뒤에는 심장소리 들어야한다고
2주뒤에보자고하셧는데.. 괜히 불안하네요🥹

늦은착상

저도 5주6일인데 아기집못보고 피검사만 하고왔습니다ㅠㅠ 보통은 지금쯤아기집 보인다는데🥲저도 좀 늦은 착상같아용 ㅠㅠ

저는 막생기준 9주차에
아기집 보고왔어요!
지금은 6주차로 심장소리도 듣고왔답니다!
배란,착상이 늦어지면 차이가 많이 날 수도 있다고해요! 넘 걱정하지마시고 기다려보아요🥰

저요~ 둘째라서 임테기 진하기랑 날짜 등 여러가지 보고 이쯤이면 되겠지 하고 갔다가 아기집 못보고 피검사만 하고.. 이틀 뒤에 아기집 간신히 보고, 2주 뒤에 심소 들었는데 주수가 한주 줄었어요 ㅎㅎ 아기집 볼 땐 5주라서 심소 들을 때 7주일 줄 알았는데 아기 사이즈가 이제 막 6주래요. 심박수 보시더니 이 정도면 아기가 안 크고 있는게 아니라 처음 예상주수가 잘못된거니 걱정말라셨어요~! 2주 뒤에 가시면 반짝반짝 예쁜 심장 보실 수 있을거에요

저도 6주차까지 아기집만 보이고 7주차가 되어서야 난황과 아기가 보여서 이번주 8주차에 심장소리 들어보자셨는데.. 넘떨리네요..

저희도 마지막생리일 기준으로는 6주였는데 아기집만보이고 8주에 심장소리 들었는데 아기심장듣고나서 아기집본게 5주였고 심장소리들은게 7주로 바꼈어요!! 저희랑 똑같은거같아요 너무걱정안하셔도 될거같아요! 축하드려요!!

저두 어제 6주1일차 초음파에서 아직 아기가 안보인다고 이번주 금요일에는 꼭 봐야한다 했어요ㅠㅠ 겁먹고 하루를 보냈는데 7주되서 봐도 괜찮다는 댓글들 보니 조금 위로가 됩니다

저 늦은 착상이였어요!!! 전 막생기준으로본래 10주여야하는데 현재주수(9주) 계산해보면 착상까지 2주 정도 걸린거같아요🥲
넘 걱정마셔용🫶🏻

저요저요!!ㅎㅎ 막생기준으로 6주여야하는데 임테기도 희미하고 병원갔는데 아기집도 안보여서 엄청 걱정했어용ㄱㅋㅋㅋ임테기보면서 유산되고있는줄 알았네용🤣착상이 늦게되어서 4주라고 하시더라고용ㅋㅋ아무문제 없어용ㅎㅎ화이팅입니다🥰

막생기준으로 오늘 8주5일이어야하는데 저는 미국에 거주해서 무조건 8주 이후에 첫 진료 및 초음파를 할 수 있어서 오늘 첫 진료 받았는데ㅠ
아기집만 있고 난황과 아기도 안보여서 바로 피검사했고 6시간 이후에
피검사로는 임신이라고 나왔는데
착상이늦어서 아기집만 보이는것같다고 6주1일로 다시 정정 하시고 2주뒤에 다시 초음파 하기로 했어요ㅠㅠ
힘내요ㅠㅠ우리ㅜㅜ
저는 입덧도 하나도 없고 하혈 증상도 하나도 앖었는데ㅠㅠ그냥 새벽마다 화장실 자주가는 증상만 있었어요ㅠㅠ
오늘 하루 조금 우울 했지만 신랑이랑 그냥 긍정적으로 생각하자고 하면서 서로 다독여주고 있네요ㅠㅠ

저도 5주때 아기집만 확인하고 심장소리 2주뒤에 오라했었는데 그 시간으 얼마나 안가던지ㅠㅜ 시기되서 가닌깐 심장소리 듣고 왔어요!  나중에 힘찬 심장소리 들으실 수 있으실거에요!

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่หลายๆท่านคงประสบกับปัญหาอาการหายใจถี่😮‍💨 อาการหายใจไม่ออกที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ไปจนถึงช่วงคลอดเจ้าตัวน้อย อาการนี้จัดว่าเป็นอาการปกติในช่วงตั้งครรภ์หรือไม่ มีสาเหตุมาจากอะไรและมีวิธีรักษาอาการนี้อย่างไร วันนี้เราจะไปหาคำตอบพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️<hr>สาเหตุของอาการหายใจถี่ขณะตั้งครรภ์✨อาการทั่วไปของคุณแม่ตั้งครรภ์อาการหายใจถี่ขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดขึ้นได้ในหญิงตั้งครรภ์ ร้อยละ 60-70 จึงจัดว่าเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ อาการนี้ไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์🤰 แต่ในบางกรณีที่เกิดขึ้นยากอาจเป็นภาวะร้ายแรงต่อครรภ์ ซึ่งอาการนั้นมักเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของทารกในมดลูกของแม่ ส่งผลให้ปลอดเครียดมากขึ้นจึงทำให้คุณแม่มีอาการหายใจถี่😮‍💨ระหว่างตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ<hr>อาการหายใจถี่ในแต่ละไตรมาสของการตั้งครรภ์💫ไตรมาสแรกในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์คุณแม่จะเจอกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของกระบังลม🫁และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จึงส่งผลต่อการหายใจเข้าลึกๆของคุณแม่ หรืออาการหายใจไม่ออกร่วมด้วย ทำให้คุณแม่บางรายอาจพบว่าการหายใจเร็วขึ้นทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก💫ไตรมาสที่สองในช่วงไตรมาสที่ 2 คุณแม่จะมีขนาดมดลูกที่ใหญ่ขึ้นเพราะทารกในครรภ์เจริญเติบโต และมีการพัฒนาของการทำงานของหัวใจ🫀ในช่วงที่อยู่ในครรภ์ เพราะหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้หมุนเวียนไปทั่วร่างกายของคุณแม่และทารก จึงส่งผลต่อการหายใจของคุณแม่💫ไตรมาสที่สามในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ซึ่งถือเป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายนั้นทารกจะมีการพลิกตัวก่อนที่ศีรษะ🚼จะลงมาที่กระดูกเชิงกรานของคุณแม่ ดังนั้นศีรษะของทารกอาจจะไปกดที่กระบังลมซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คุณแม่หายใจไม่ออกนั่นเองค่ะ รวมไปถึงสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการหายใจถี่ในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคหอบหืด อาการเส้นเลือดอุดตันที่ปอด และ ภาวะหัวใจล้มเหลวในช่วงตั้งครรภ์ (Peripartum Cardiomyopathy)&nbsp;<hr>แนวทางการจัดการกับอาการหายใจถี่ขณะตั้งครรภ์👉การฝึกบุคลิกภาพการฝึกบุคลิกภาพ🧘‍♀️และท่าทางที่ดีในช่วงตั้งครรภ์จะทำให้มดลูกเคลื่อนออกจากกระบังลมได้ ส่งผลให้คุณแม่หายใจได้สะดวกขึ้นค่ะ👉การนอนบนหมอนสูงการที่คุณแม่นอน😴ลงบนหมอนที่หนุนหลังในตำแหน่งที่เอียงซ้ายเล็กน้อย จะสามารถทำให้เลือดไปไหลเวียนได้ทั่วร่างกาย ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น👉ใช้เทคนิคการหายใจโดยทั่วไปคุณหมอจะให้คุณแม่ฝึกวิธีหายใจในช่วงระหว่างตั้งครรภ์จนไปถึงการหายใจในช่วงระหว่างการคลอดบุตรเป็นการหายใจตามจังหวะ🎶ที่จะช่วยให้คุณแม่หายใจได้สะดวกขึ้นค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบแบบนี้แล้วก็สามารถบรรเทาอาการหายใจถี่😮‍💨ในระหว่างตั้งครรภ์กันได้แล้วใช่ไหมคะ แต่ถ้าหากคุณแม่ท่านใดพบว่ามีอาการหายใจถี่ในขั้นรุนแรง และวิธีดังกล่าวมาข้างต้นไม่สามารถบรรเทาอาการหายใจถี่ได้ ทางเราแนะนำให้คุณแม่ไปพบแพทย์👨‍⚕️ทันทีค่ะ

สาเหตุของอาการหายใจถี่ หายใจไม่ออกขณะตั้งครรภ์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;การประมาณความยาวร่างกายของทารกในครรภ์ทำได้โดยใช้วิธีการและการวัดต่างๆ ในระหว่างอัลตร้าซาวน์ก่อนคลอดค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถรู้ขนาดตัวของลูกในครรภ์จากการคาดคะเนด้วยการอัลตร้าซาวน์เหล่านี้ได้ เพราะการอัลตร้าซาวน์ให้ข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในระยะต่างๆ ของการตั้งครรภ์ได้ใกล้เคียวกับความเป็นจริงพอสมควรเลยค่ะ💁‍♀️<hr>รายละเอียดเกี่ยวกับระยะการเจริญเติบโตของทารกความยาวมงกุฎ-สะโพก หรือ CRL&nbsp;ในช่วงไตรมาสแรก ความยาวของทารกจะวัดจากส่วนบนของศีรษะไปจนถึงส่วนล่างของบั้นท้าย🍑 การวัดนี้เรียกว่าความยาวมงกุฎ-ตะโพก และโดยทั่วไปจะใช้เพื่อประมาณอายุครรภ์ของทารก ถือเป็นการวัดที่แม่นยำที่สุดในการตั้งครรภ์ระยะแรกค่ะเส้นผ่านศูนย์กลางสองขั้ว หรือ BPD&nbsp;เมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินไป ศีรษะของทารกจะมีการพัฒนามากขึ้น เส้นผ่านศูนย์กลางสองขั้วคือระยะห่างระหว่างกะโหลกศีรษะทั้งสองข้างของทารก👶 โดยจะวัดในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 และเป็นการประมาณขนาดศีรษะของทารกค่ะความยาวโคนขา หรือ FL&nbsp;ความยาวโคนขาคือการวัดกระดูกต้นขาของทารก🦵 โดยทั่วไปจะใช้เพื่อประมาณความยาวโดยรวมของทารกในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 FL มีประโยชน์ในการประเมินการเจริญเติบโตของโครงกระดูกและรับประกันการพัฒนาที่เหมาะสมค่ะเส้นรอบวงท้องหรือ AC&nbsp;วัดเส้นรอบวงท้องในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 โดยเป็นการประมาณขนาดท้องของทารก และใช้เพื่อประเมินการเจริญเติบโตและติดตามความเป็นอยู่โดยรวมของทารกค่ะ🚼เส้นรอบวงศีรษะ หรือ HCวัดเส้นรอบวงศีรษะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 โดยเป็นการประมาณขนาดศีรษะของทารก และมีความสำคัญต่อการประเมินพัฒนาการของสมอง🧠และประกันการคลอดลูกที่ดีค่ะ<hr>ความยาวของทารกในครรภ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละเดือนในระหว่างตั้งครรภ์<ol><li dir="ltr">เมื่อสิ้นเดือนแรก ประมาณ 1 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">เมื่อสิ้นเดือนที่สอง ประมาณ 3-4 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">เมื่อสิ้นเดือนแรก เดือนที่สาม ประมาณ 7-10 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">ปลายเดือนที่สี่ ประมาณ 12-14 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">ปลายเดือนที่ห้า ประมาณ 20-25 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">ปลายเดือนที่หก ประมาณ 26-30 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">ปลายเดือนที่เจ็ด ประมาณ 32-37 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">ปลายเดือนที่แปด ประมาณ 38-42 เซนติเมตร</li><li dir="ltr">ปลายเดือนที่เก้า ประมาณ 45-50 เซนติเมตร</li></ol>คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการอัลตร้าซาวน์👉คือเทคนิคการถ่ายภาพแบบไม่รุกรานซึ่งใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพพัฒนาการของทารกในครรภ์ค่ะ👉อายุครรภ์🤰โดยทั่วไปจะวัดเป็นสัปดาห์ โดยเริ่มจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย👉อัลตร้าซาวน์ทางช่องคลอด เป็นอัลตร้าซาวน์ประเภทหนึ่งที่มีการสอดโพรบขนาดเล็กเข้าไปในช่องคลอดเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น🎞️ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ค่ะ👉อัลตร้าซาวน์ช่องท้อง เป็นอัลตร้าซาวน์ประเภทหนึ่งที่มีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์พกพา หรือทรานสดิวเซอร์ให้อยู่เหนือช่องท้องเพื่อจับภาพทารกค่ะ🔬👉EDD หรือวันที่ครบกำหนดโดยประมาณ เป็นวันที่ครบกำหนดในการคลอดลูกโดยประมาณหรือที่เรียกว่าวันครบกำหนด คำนวณตามอายุครรภ์ของทารก และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนการดูแลก่อนคลอดค่ะ

ขนาดตัวของทารกในครรภ์ สามารถเดาได้จากผลอัลตร้าซาวน์ 

&nbsp; &nbsp; &nbsp;สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยในครรภ์ ประเด็นหนึ่งที่ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญก็คือโภชนาการของคุณแม่ เนื่องจากเจ้าตัวน้อยในครรภ์จะสามารถรับสารอาหารจากสิ่งที่คุณแม่รับประทาน🍲 ดังนั้นนอกจากอาหารเหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคุณแม่ได้โดยตรงแล้ว ยังส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทางอ้อมอีกด้วยค่ะ วันนี้บทความของเราพาคุณผู้อ่านมาดูถึงสารอาหารประเภทหนึ่งที่นับว่าเป็นสาอาหารสำคัญสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คุณผู้อ่านบางท่านอาจคุ้นหูหรือเคยผ่านตามาบ้างแล้ว สารอาหารดังกล่าวก็คือโฟเลตนั่นเอง เจ้าสารตัวนี้จะมีความสำคัญต่อทั้งร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์อย่างไรบ้าง เราไปทำความรู้จักมันไปพร้อมๆกันได้เลยค่ะ💁‍♀️<hr>ทำความรู้จักกับโฟเลตเบื้องต้นโฟเลตนั้นเป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่สามารถถูกจัดกลุ่มได้ว่าอยู่ในกลุ่มวิตามินบี🅱️ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ละลายในน้ำ มีความอ่อนไหวต่อการสัมผัสกับแสงอาทิตย์ ความร้อน และอากาศ บางท่านอาจคุ้นเคยกับสารที่มีชื่อคล้ายๆกันนั่นก็คือโฟลิคนั่นเอง ก่อนอื่นต้องบอกว่าโฟเลตกับโฟลิคนั้นถือเป็นสารคนละตัวกัน โฟลิคนั้นเป็นกรดประเภทหนึ่ง บางท่านจึงอาจเรียกว่ากรดโฟลิคได้ ซึ่งถือเป็นสารองค์ประกอบของโฟเลต หากจะพูดให้เห็นภาพก็คือโฟเลตนั้นมีองค์ประกอบคือกรดโฟลิคนั่นเองค่ะ นั่นหมายความว่าไม่ว่าเราจะรับประทานกดโฟลิคเข้าไปหรือรับประทานโฟเลตเข้าไปตรงๆ หากระบบของร่างกายดำเนินไปอย่างเป็นปกติ เราก็จะได้รับประโยชน์ของการรับประทานโฟเลตนั่นเองค่ะ✨ทำไมคุณแม่ควรรับประทานโฟเลต<ol><li dir="ltr">เนื่องจากโฟเลตนั้นมาจากการเปลี่ยนสภาพของกรดโฟลิค ซึ่งประโยชน์ของกรดโฟลิคนั้นเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของทารกโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยรักษาสภาพของสารพันธุกรรม🧬และการแบ่งตัวของเซลล์ร่างกายทารก ในขณะที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์นั่นเองค่ะ</li><li dir="ltr">ทั้งกรดโฟลิคและโฟเลตส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก รวมไปถึงความสมบูรณ์ของเนื้อเยื่อรกของคุณแม่อีกด้วย🤰</li><li dir="ltr">เป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และไขกระดูก🦴ของทารกในครรภ์</li></ol>✨ หากทารกขาดกรดโฟลิคหรือโฟเลต จะเกิดอะไรขึ้น<ol><li dir="ltr">เสี่ยงต่อความพิการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง🧠 ไม่ว่าจะเป็นการบกพร่องของสมองเอง จนไปถึงไขสันหลัง ระบบประสาทส่วนกลาง รวมถึงความสมบูรณ์ของกะโหลกศีรษะอีกด้วย</li><li dir="ltr">ทารกมีความเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง🩸 ไม่ว่าจะในแง่ของขนาดเม็ดเลือดหรือประสิทธิภาพในการทำงาน</li><li dir="ltr">ทารกมีความเสี่ยงที่จะมีโรคประจำตัวในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ🫀 ไขมันอุดตันเส้นเลือด โรคคอเลสเตอรอลสูง โรคความดันโลหิตสูง จนไปถึงโรคเบาหวานค่ะ</li></ol><hr>ปริมาณและช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับคุณแม่<ul><li dir="ltr">สำหรับปริมาณที่แนะนำสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์&nbsp;ควรรับประทานกรดโฟลิคอยู่ที่ 0.8 มิลลิกรัมต่อวัน&nbsp;แต่ไม่ควรมากเกินกว่า 1 มิลลิกรัมต่อวัน✅</li><li dir="ltr">สำหรับช่วงเวลาที่แนะนำ สำหรับการรับประทานกรดโฟลิคสูงถึงปริมาณดังกล่าว สามารถรับประทานได้ตั้งแต่ช่วงที่วางแผนไว้ว่าจะมีบุตรได้เลย หรืออย่างน้อยต้องก่อนที่จะตั้งครรภ์ 1 เดือน และรับประทานต่อไปในปริมาณดังกล่าว 3 เดือนหลังทราบว่าตั้งครรภ์🤰แล้วค่ะ เพราะป็นช่วงที่ระบบประสาทและสมองของทารกกำลังมีการพัฒนา</li></ul>👉อันตรายของการรับประทานกรดโฟลิคและโฟเลตที่มากเกินไปหากรับประทานกรดโฟลิคหรือโฟลตที่มากเกินไปนั้น มีแนวโน้มที่สารดังกล่าวจะไปยับยั้งการทำงานของวิตามินบี 12 ซึ่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆตามมา โดยอาจมีอาการดังต่อไปนี้<ol><li dir="ltr">รู้สึกไม่อยากอาหาร ขมในปาก ท้องอืด รู้สึกอึดอัดเพราะมีแก๊สในกระเพาะอาหาร💨 บางรายอาจควบคู่ไปกับอาการเวียนศีรษะ😵‍💫</li><li dir="ltr">รู้สึกตื่นเต้น กระสับกระส่าย มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ และอาจมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย🥹</li><li dir="ltr">สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจมีอาการคันยุบยิบตามร่างกาย รู้สึกอ่อนเพลีย มีอาการเจ็บปวดภายในช่องปากและลิ้น👅</li></ol>&nbsp; &nbsp; &nbsp;อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านจะเห็นแล้วนะคะว่า ถึงแม้กรดโฟลิคหรือโฟเลตเองถือว่าเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์🤰 รวมไปถึงร่างกายของเราทุกคนด้วย (ในปริมาณที่ต่ำกว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์) แต่หากได้รับมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะรับประทานในรูปแบบอาหารเสริม ก็ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ👩‍⚕️

โฟเลต วิตามินที่แม่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องทาน

เมื่อลูกเต็บโตขึ้น และเข้าสู่ช่วงวัย 1 ขวบครึ่ง - 3 ขวบ ลูกน้อยจะกลายเป็นคนขี้หวง และติดคุณแม่มากๆเลยล่ะคะ ในวัยนี้เขาจะเริ่มรับรู้ว่าตัวเองเป็นอีกคนหนึ่งๆ และจะเริ่มสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง โดยลูกน้อยจะเริ่มประกาศความเป็นเจ้าของไม่ว่าจะเป็นของเล่นต่างๆที่เขาชอบ หรือแม้แต่คุณแม่ด้วยค่ะ&nbsp;<hr>วิธีการรับมือเมื่อลูกขี้หวง<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3091/6f6df19b-9406-45e7-8406-caf89eab63a8.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">บอกทุกคนในบ้านให้เข้าใจตรงกันก่อนจะเริ่มการฝึกลูกน้อย ให้บอกคนในครอบครัวเพื่อให้เข้าใจว่าหากลูกน้อยเกิดอาการหวงก็ไม่ควรไปดุ เพราะจะทำให้ลูกตกใจกลัว😢 แถมเขาก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ และผู้ใหญ่ก็ไม่ควรไปบังคับให้เด็กแบ่งของค่ะ&nbsp;บอกลูกก่อนหากคุณแม่จะนำของเล่นหรือตุ๊กตาตัวโปรดของเจ้าตัวเล็กไปทำความสะอาด🚿 ให้บอกลูกล่วงหน้าเพื่อให้ลูกเข้าใจและไม่ร้องไห้โวยวาย เพราะหากไม่ได้บอกลูกจะเข้าใจว่าเข้าได้สูญเสียสิ่งนั้นไปตลอดกาล โดยเวลาที่บอกอาจจะกล่าวเป็นเรื่องราวว่า วันนี้คุณแม่พาพี่หมี🧸ไปอาบน้ำก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวตอนเย็นก็กลับมาแล้ว&nbsp;ทำสัญลักษณ์ให้เห็นๆ&nbsp;ทำสัญลักษณะบนของต่างๆ ที่เป็นของลูก อาจนำสติ๊กเกอร์หรือปากกา🖊️มาขีดบนของเพื่อให้ลูกทราบว่าของชิ้นไหนเป็นของเขา และสิ่งไหนที่เป็นของคุณพ่อคุณแม่ เพื่อที่เขาจะได้แยกแยะออกว่าอันไหนเป็นของใคร และไม่แสดงความเป็นเจ้าของไปซะหมด&nbsp;<hr>วิธีการรับมือเมื่อลูกขี้หวง<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3091/b587138e-503a-4a76-8033-b9d0a2de7f96.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เตือนย้ำว่าสิ่งนี้เป็นของคุณพ่อคุณแม่หากเจ้าตัวเล็กยังคงเคลมว่าของต่างๆ เป็นของตนเองอยู่ให้ลองพูดย้ำว่าสิ่งนี้คือของของเรา เช่น เมื่อคุณพ่อคุณแม่กำลังดูทีวีอยู่📺 แล้วอยู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็มาแย่งรีโมตทีวีไป ให้บอกลูกอย่างตรงไปตรงมาว่าที่รีโมตนี้ไม่มีสัญลักษณ์ของหนูนะจ้ะ อันนี้ของคุณพ่อคุณแม่ แต่หากอยากดูเรามาแบ่งกันดูนะ เมื่อเป็นอย่างนี้เขาจะค่อยๆเข้าใจเรื่องของการแบ่งปันหากิจกรรมอื่นๆขั้นเวลาเมื่อฝึกลูกบ่อยๆลูกก็จะรู้จักการรอคอย และจะไม่ร้องโวยวายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น เมื่อไปเล่นในสนามเด็กเล่น เขาจะก็รู้จักรอ🕐ให้คนด้านหน้าเล่นเสร็จก่อนจะถึงคิวของเขา โดยคุณพ่อคุณแม่อาจหากิจกรรมอื่นให้ลูกเล่นข้ามเวลา หรืออาจชวนคุยนู่นนี่ เพื่อที่จะให้ลูกไม่เบื่องอแงระหว่างที่รอเล่นนั่นเองค่ะ&nbsp;

ทำอย่างไรดี!? ลูกเข้าสู่วัยขี้หวง

&nbsp; &nbsp; &nbsp;เชื้อ Group B Streptococcus (GBS) หรือเรียกอีกชื่อว่า Streptococcus agalactiae ถือเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีความอันตรายต่อทารก👶 คุณแม่ตั้งครรภ์ 10 - 30% มีเชื้อนี้อาศัยอยู่ในลำไส้ ช่องคลอดและทวารหนัก ซึ่งปกติแล้วไม่เป็นอันตรายในช่วงที่ร่างกายแข็งแรง แต่สำหรับในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์นั้น &nbsp;เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถส่งผ่านไปถึงลูกในครรภ์ได้ในช่วงทำคลอด ทางเราได้รวบรวมข้อมูลที่คุณแม่ไม่ควรมองข้ามเรื่องการตรวจเชื้อ GBS และผลกระทบของการติดเชื้อที่มีผลต่อสุขภาพทารกมาให้ฟังค่ะ<hr>ลักษณะอาการของผู้ที่ติดเชื้อ GBS<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4409/e2ac0a73-0b36-4484-a9a3-51c8cadff4b2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">การติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการในกรณีของคนทั่วไปที่ติดเชื้อ GBS นั้นมักจะไม่แสดงอาการออกมา เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังแข็งแรง💪การติดเชื้อที่แสดงอาการในกรณีคุณแม่ตั้งครรภ์ติดเชื้อ GBS นั้นจะแสดงอาการออกมาในรูปแบบของ การมีไข้ 🤒 ปวดเมื่อยร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ซึ่ง คุณแม่ที่มีอาการดังกล่าวควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อลุกลามไปสู่ลูก<hr>ระยะของการติดเชื้อ GBS ในทารกแรกเกิด<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4409/9165973d-bc56-4b9c-a32c-19ce30845d83.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ระยะที่ 1 : Early-onset GBS&nbsp;สำหรับระยะแรกจะแสดงอาการภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด จนถึง 6 วันแรกหลังการเกิด โรคที่พบได้คือ ปอดอักเสบติดเชื้อ 🫁&nbsp; เยื่อหุ้มสมองอักเสบและการติดเชื้อในกระแสเลือด อาการในทารกมักจะไม่เฉพาะเจาะจงระยะที่ 2 : &nbsp;Late-onset GBSสำหรับในระยะที่ 2 แสดงอาการภายใน 4-5 สัปดาห์หลังคลอด โรคที่พบได้บ่อยในระยะนี้ คือ การติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ🧠 และการติดเชื้อเฉพาะที่ระยะที่ 3 : Late, late-onset GBS&nbsp;ในระยะที่ 3 นี้จะเกิดในทารกที่มีอายุมากกว่า 3 เดือน และมักจะเกิดขึ้นกับทารกที่คลอดก่อนกำหนด 🚼 (อายุครรภ์ 28 สัปดาห์) และรวมไปถึงในกรณีที่เด็กมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง<hr>วิธีป้องกันไม่ให้ทารกติดเชื้อ GBS<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4409/56c8bef3-9b15-44a6-975b-50b43c67ffd0.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ใช้วิธีการตรวจประจำก่อนกำหนดคลอดคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 35 -37 สัปดาห์ ควรทำการทดสอบว่ามีการติดเชื้อ GBS หรือไม่ โดยใช้วิธีการตรวจง่ายๆที่สามารถทำได้ที่บ้าน หรือสามารถให้ผดุงแพทย์เก็บตัวอย่างจากการตรวจแล้วนำไปวินิจฉัย🔬ให้คุณแม่รอฟังผลตรวจใช้วิธีรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหากคุณแม่ตรวจพบเชื้อ GBS ในระหว่างตั้งครรภ์ มีอาการเจ็บท้องคลอดก่อน 37 สัปดาห์ ร่างกายมีอุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซลเซียส และมีร่องรอยการติดเชื้ออยู่รอบตัวทารก คุณแม่จะต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะ💉เข้าทางเส้นเลือดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ GBS สู่ทารกในครรภ์&nbsp; &nbsp; &nbsp;เชื้อ GBS จัดว่าเป็นภัยเงียบสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์🤰 ถึงแม้ว่าในประเทศไทยนั้นจะยังไม่มีมาตรฐานของการคัดกรองเชื้อ GBS ในโรงพยาบาลทั่วไป ทางเราแนะนำให้คุณแม่ตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง โดยการซื้อชุดตรวจ GBS ที่ใช้เทคโนโลยี Multiplex PCR (วิธีหนึ่งของ NAAT) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจหาเชื้อ หากพบความผิดปกติเบื้องต้น คุณแม่สามารถเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ทารก

เชื้อ Group B Strep (GBS) อันตรายต่อทารกในครรภ์ไหม?

หลายๆท่านกำลังมีความกังวลล่วงหน้าว่าหากลูกของเรามีพัฒนาการการพูดที่ช้ากว่าเด็กคนอื่นๆจะเป็นอะไรไหม หรือ บางคนอาจกำลังสังเกตว่าลูกของเรากำลังพูดช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ซึ่งในบทความนี้เราได้นำความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการการพูดช้าในเด็กและวิธีการรับมือมาฝากกันค่ะ&nbsp;<hr>พัฒนาการของลูก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2401/ae0e5eb5-df9f-470a-93a6-d1a1d3a6b0a5.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">พัฒนาการของลูกในทุกๆด้านนั้นมีความสำคัญเพราะเป็นการแสดงออกว่ามีปัญหาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม่ หรือควรเน้นพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งเพิ่มขึ้นหรือไม่ เด็กที่มีพัฒนาการทางด้านการพูดไว จะเป็นเด็กที่ช่างพูด👄 ผู้ใหญ่จะเอ็นดูแต่ในเด็กบางคนที่มีพัฒนาการการพูดช้า อาจจะพูดคำว่า พ่อ แม่ ป๊า ม๊ายังไม่ได้แม้ว่าจะกำลังหัดเดินแล้ว เด็กบางคนพูดติดอ่าง พูดไม่ชัด หรือพูดไม่รู้เรื่อง😐 ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาด้านอื่นๆ ด้วยค่ะ&nbsp;<hr class="vb_h2">ปัญหาการพูดที่พบได้ส่วนใหญ่<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2401/c9fa956d-4d30-4307-bfdf-d863a5dc9b57.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เมื่อเข้าสู่วัยที่ควรพูดได้แล้ว แต่ลูกยังพูดไม่ชัด พูดติดอ่างหรือไม่พูดเลย แปลว่าอาจมีความผิดปกติในด้านพัฒนาการพูด👄 และการสื่อสาร ซึ่งอันนี้อาจไม่ได้เป็นกับเด็กทุกคนเพราะแต่ละคนก็มีสปีดในการพัฒนาที่แตกต่างกันออกไป แต่แหล่งข้อมูลจาก สมาคมโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่พบได้ในเด็กไทยนั้นมีอยู่ประมาณ 9 ประเภท ดังนี้💡พูดไม่ชัด💡พูดเสียงแหบ💡พูดติดอ่าง💡พูดช้า💡ปัญหาการพูดของคนที่มีความบกพร่องทางสมอง💡กลุ่มดาวน์ซินโดรม💡กลุ่มของเด็กที่มีปัญหาด้านจิตใจ💡กลุ่มออทิสติก💡กลุ่มที่มีปัญหาเรื่องหูและการได้ยิน&nbsp;<hr>ควรทำอย่างไรเมื่อลูกมีพัฒนาการล่าช้า<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/2401/3293d8da-94f2-4ac2-ac59-37e657ad8045.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ไม่ควรไปคาดคั้นการที่จะช่วยให้เด็กมีความกล้าในการพูด และไม่เป็นปมในใจ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรไปคาดคั้น❌ เช่น หากลูกมีอาการติดอ่าง และมีการพูดช้า ก็ไม่ควรไปเร่งให้ลูกพูดไว เมื่อลูกถามคำถามก็ให้ตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ หากไปดูลูกลูกก็จะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น😐 เพราะอาจจะไปทำให้ลูกมีปัญหาในการเข้าสังคมได้✨พาลูกปรึกษากับคุณหมอคุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปหาคุณหมอ เพื่อทดสอบพัฒนาการ โดยหากลูกน้อยมีพัฒนาการการพูดที่ล่าช้า ก็ไม่ต้องเครียดมากจนเกินไป คุณหมอจะคอยช่วยเหลือและบอกวิธีการที่จะค่อยๆกระตุ้นพัฒนาการด้านการพูดของลูก👄 และช่วยลดความกังวลของผู้ปกครองเองด้วยค่ะ&nbsp;

ลูกน้อยมีพัฒนาการพูดช้า ทำอย่างไรดี?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบถึงความสำคัญของการแปรงลิ้น โดยเฉพาะการแปรงฟันสำหรับเด็กที่อยู่ในช่วงดื่มนม🍼 เพราะคราบนมอาจจะติดอยู่ที่ลิ้นของเป็นจำนวนมาก หากไม่ได้ทำความสะอาด จะส่งผลต่อสุขภาพปากและฟันของลูกได้ วันนี้ทางเราได้รวบรวมวิธีสอนให้ลูกแปรงลิ้นหลังแปรงฟันมาให้คุณแม่ทราบพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️<hr>เทคนิคการสอนให้ลูกแปรงลิ้นอย่างไรให้สะอาดการเริ่มทำความสะอาดภายในช่องปากของทารกหรือเด็กสามารถทำได้ทันทีหลังจากที่ลูกเริ่มมีฟันน้ำนมขึ้นมา🦷 คุณแม่ควรค่อยๆสอนให้ลูกรู้จักแปรงลิ้น โดยค่อยๆสอนให้ลูกทำตามอย่างถูกวิธี เพราะถ้าหากลูกทำอย่างไม่ถูกวิธี อาจทำให้ลิ้นของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ เทคนิคง่ายๆในที่คุณแม่สามารถสอนให้ลูกแปรงลิ้นเพื่อสุขภาพในช่องปากที่ดี มีดังต่อไปนี้&nbsp;ข้อที่ 1️⃣ไม่ควรใช้ที่ขูดลิ้นจนกว่าลูกของคุณจะอายุประมาณ 5 ขวบ คุณแม่อาจเริ่มจากการให้ลูกให้ลูกใช้แปรงขนนุ่มก่อน🪥ข้อที่ 2️⃣เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะเด็ก ๆ มันจะมีพฤติกรรมเลียนแบบ ซึ่งนั่นเป็นผลดีหากคุณมีการทำเป็นแบบอย่างให้พวกเขาปฏิบัติตาม🫡ข้อที่ 3️⃣สอนให้ลูกของคุณรู้จักกับลำดับของการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟัน สอนให้พวกเขาทำความสะอาดลิ้น👅ก่อนแล้วจึงจะแปรงฟันข้อที่ 4️⃣ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณไม่มีการแปรงลิ้นอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้พื้นผิวของลิ้นนั้นได้รับบาดเจ็บได้🩸ข้อที่ 5️⃣สอนให้ลูกของคุณทำความสะอาดแปรง หรือที่ขูดลิ้นหลังจากที่ใช้งาน เพราะการที่ไม่ทำความสะอาดหลังใช้อาจทำให้แบคทีเรีย🦠กระจายไปทั่วปากได้หลังจากหยิบมาใช้งานครั้งต่อไป<hr>ประโยชน์ของการแปรงลิ้น✨เพื่อการรับรสที่ดียิ่งขึ้นหากลิ้นของลูกเต็มไปด้วยแบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอม อาจทำให้ต่อมรับรสที่อยู่เหนือลิ้นนั้นทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลทำให้เด็ก ๆ ไม่ยอมรับประทานอาหาร เพราะว่าไม่ได้รับรสชาติที่แสนอร่อยของอาหาร ดังนั้นการทำความสะอาดลิ้น👅จะทำให้พวกเขาสามารถลิ้มรสอาหารได้มากยิ่งขึ้น และสามารถแยกแยะรสชาติของอาหารแต่ละรสได้อย่างแม่นยำ และสามารถทานอาหารได้มากยิ่งขึ้น เจริญเติบโตได้อย่างสมวัย✨เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปากแบคทีเรีย🦠เป็นต้นเหตุของปัญหาทางช่องปาก เช่น ฟันผุ กลิ่นปาก หรือแม้แต่โรคเหงือกอักเสบ เป็นต้น ซึ่งการทำความสะอาดลิ้นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการเพิ่มจำนวนแบคทีเรีย เช่น สเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) มิวแทน (mutans) และแลคโตบาซิลลัส (Lactobacilli) ภายในช่องปากของเราได้ เพราะแบคทีเรียเหล่านั้นจะพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นแผ่นฟิล์มสีขาว ทำให้เกิดลิ้นขาว เพื่อทำหน้าที่ปกป้องตัวมันเอง ซึ่งวิธีที่จะขจัดได้คราบขาวเหล่านั้นได้คือการแปรงลิ้นนั่นเอง✨เพื่อเสริมความมั่นใจการมีเศษอาหารติดฟัน มีคราบนมหรือสีของลิ้นที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้เด็ก ๆ รู้สึกเสียความมั่นใจ😥เมื่อถูกเพื่อนล้อเลียน ดังนั้นการแปรงลิ้นหลังแปรงฟันนั้นสามารถช่วยให้ลิ้นของลูกสะอาด ปราศจากคราบขาว และยังเสริมความมั่นใจให้กับพวกเขาได้✨เพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในช่องปากกลิ่นปาก🙊เกิดมาจากการไหลของน้ำลายที่ลดลง ทำให้เกิดแบคทีเรียสะสม หากลิ้นไม่สะอาดก็จะทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียด้วยเช่นกัน ส่งผลทำให้สุขภาพช่องปากของลูกแย่ลง ซึ่งน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถช่วยได้ ดังนั้นการแปรงลิ้นจึงเป็นวิธีเดียวที่ทำความสะอาดลิ้นได้ดีที่สุด และช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ✨เพื่อช่วยเพิ่มการทำงานของระบบในร่างกายแบคทีเรียทุกชนิดล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูก ไม่ใช่เพียงแค่ในช่องปากเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอันตรายต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ หากเกิดเกิดแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ผ่านระบบไหลเวียนเลือด ดังนั้นการกำจัดแบคทีเรียจึงไม่เพียงแค่ปรับปรุงสุขภาพภายในช่องปากเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้สุขภาพโดยรวมของลูก👶ดีขึ้นด้วยนั่นเอง&nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปได้ว่าคุณแม่ไม่ควรละเลยการสอนลูกแปรงลิ้น👅ให้สะอาด เพราะการทำความสะอาดลิ้นนั้นช่วยลดการสะสมของคราบแบคทีเรียที่ติดอยู่ที่ลิ้น และยังช่วยเลิกการเกิดกลิ่นปากได้อีกด้วย แต่ถ้าพบว่าลูกมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก เช่น ฟันผุ และปัญหาช่องเหงือก คุณแม่ควรพาลูกไปปรึกษาทันตแพทย์👨‍⚕️ทันทีเพื่อรับการรักษาได้อย่างตรงจุดนั้นเอง

สอนลูกแปรงลิ้นขณะแปรงฟัน

อาการคางสั่นมักจะพบได้ในเด็กแรกเกิด โดยจะมีอาการปากสั่นหรือคางสั้นในตอนที่ร้องไห้นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นอาการที่สามารถพบได้ในเด็กแรกเกิด👶หลังคลอด ซึ่งในวันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับอาการคางลั่นกันให้มากขึ้นกันค่ะ&nbsp;<hr>คางลั่นในทารกอันตรายไหม?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2740/0b788783-14bd-4e0c-8f82-260a5a7b819a.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เมื่อลูกน้อย👶คางลั่น หรือ มีการขยับปากขึ้นๆลงๆก่อนกินนม หรือ หลังจากการร้องไห้ ก็ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะอาการคางลั่นนี้เป็นการตอบสนองของร่างกายของเด็กที่ยังไม่สามารถควบคุมส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีนัก เนื่องจากระบบประสาทยังทำงานได้ไม่เต็มที่นอกจากนั้นในขณะที่คางลั่น แขนและขาของลูกก็จะมีอาการสั่นร่วมด้วย ซึ่งภาวะเหล่านี้เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดและจะหายไปเองเมื่ออายุ 1ถึง 2 เดือนค่ะ&nbsp;<hr>สาเหตุของอาการคางลั่นในทารก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2740/a787bf3e-01d7-40f3-975e-11cdadebc5e6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">สาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดคางลั่นนอกจากสาเหตุที่มาจากการทำงานไม่เต็มที่ของกล้ามเนื้อและระบบประสาทแล้วก็ยังมีสาเหตุอื่นๆอีกดังต่อไปนี้&nbsp;✨เมื่อลูก👶ดูดนมเป็นเวลานานจนทำให้เมื่อยปากและคาง✨มีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ✨ร่างกายขาดวิตามินดี💊✨มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหากลูกมีอาการปากสั่นหรือคางลั่นให้ลองให้นมจากเต้าดู แต่หากลองแล้วก็ยังพบอาการปากสั่นอยู่ควรจะพาลูกน้อยไปพบแพทย์👩&zwj;⚕️เพื่อตรวจความผิดปกตินะคะ&nbsp;อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในเด็กแรกเกิดเพราะทารก👶ยังมีการทำงานของระบบประสาทและร่างกายส่วนต่างๆยังไม่เต็มที่ดังนั้นเราอาจพบเจอกับอาการแปลกที่ไม่ได้เป็นอันตรายดังนี้ค่ะ&nbsp;✨เวลาร้องไห้จะตัวสั่น✨หายใจไม่สม่ำเสมอ✨หายใจมีเสียง✨กระตุกเวลานอน💤✨สำลักตอนกินนม/กินอาหาร<hr>ควรพาลูกไปพบหมอเมื่อไหร่?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2740/ffe4176b-cd3b-49fa-8676-fb0a14e07c4e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันทีเพื่อพบอาการดังต่อไปนี้นะคะ&nbsp;✨มีอาการชัก✨มีไข้🌡️✨หายใจติดขัด✨เสียงหายใจดังกว่าปกติ✨ใบหน้า ริมฝีปาก หรือลิ้นมีสีคล้ำ👅✨มีเสียงร้องออกมาตอนที่หายใจ✨นอนหลับไม่ตื่น ปลุกแล้วก็ไม่ตื่น💤✨ไม่ขยับตัว✨ร่างกายอ่อนแอมากเป็นพิเศษ✨ร้องไห้อย่างอ่อนแรงและเงียบไป ก่อนจะกลับมาร้องไห้ใหม่✨ไม่ยิ้ม/หัวเราะเวลาที่เล่นด้วย✨พัฒนาการเรียนรู้ไม่ดีขึ้น✨มีการขยับปากลำบากซึ่งในเด็กบางคนอาจมีอาการปากลั่นจนถึงอายุ 4 ขวบได้เลย ซึ่งอาจมาจากการเคลื่อนไหวที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ หรืออาจมาจากระบบประสาท หรือ พันธุกรรมก็เป็นได้ค่ะ ซึ่งหากผู้ปกครองมีความไม่สบายใจ หรือ กังวลใจก็สามารถพาลูกไปปรึกษากับคุณหมอได้นะคะ &nbsp;

คางลั่นคืออะไร? อันตรายไหม?

이제 12주차 접어들었어요
입덧이 좀 갠찮아지나햇더니 
하루이틀 좋다가 또 울렁거리고 두통이 너무 심하네요ㅠㅠㅜㅜㅠㅎ 5주부터 입덧시작했는데 칸디션이 안올라와서 넘 지쳐용,, 보통 입덧 언제까지 하셨나융 ㅜㅜㅎㅎㅎ 

이제 12주차,입덧 보통 언제끝나나요

저는 5주에 시작해서 20주에 끝났는데 컨디션 떨어지면 입덧 돌아오는건 막달에도 있었어요...ㅎㅎ

이거는 애바애더라구여...ㅜㅜ 저 첫째때는 초기에 2-3주정도 입덧하고 먹덧으로 바꼈는데 둘째는 20주까지 심하다가 잠깐 없어졌다가 26주차쯤부턴가 다시 오락가락했어요ㅜㅜ 같은 배인데도 달라요

저는 14주부터 먹덧해서 거의 만삭까지 했네여… 그래서 거의20kg 쪘었는데 ㅋㅋ 아기는 2.86kg 로 나왔어요 ㅜㅜㅜ 

저는 14주부터 많이 좋아졌고 16주쯤에 확실히 사라졌어요! ㅠㅠ 화이팅입니다 곧 입덧에서 해방되실거에요!!!!

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์และวิทยาการทางการแพทย์มีความก้าวหน้าควบคู่ไปด้วยกันอย่างก้าวกระโดด เราจึงเห็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมไปถึงการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือเรื่องเกี่ยวกับการรักษาด้วย &ldquo;สเต็มเซลล์&rdquo; ที่ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายๆท่านอาจยังไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับสเต็มเซลล์มากขึ้น ว่ามันเกี่ยวข้องกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในแง่ไหนบ้าง เราไปเริ่มกันที่ความหมายของมันกันเลยค่ะ<hr>สเต็มเซลล์คืออะไร<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4272/09a30486-1134-48be-85bb-0095a584c86e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ก่อนจะรู้จักกับคำว่าสเต็มเซลล์ เราต้องรู้จักกับคำว่าเซลล์ก่อน สิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมถึงเราทุกคนล้วนมีหน่วยย่อยๆของร่างกาย ที่เปรียบเสมือนฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนให้เรามีชีวิตได้ เซลล์ก็คือหน่วยย่อยๆเหล่านั้นนั่นเองค่ะ แต่เนื่องจากในร่างกายของเราก็ประกอบไปด้วยหลายอวัยวะใช่ไหมคะ ดังนั้นเซลล์ที่อวัยวะต่างๆก็จะมีความแตกต่างกัน แต่เซลล์เหล่านี้ล้วนมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน นั่นก็คือ &ldquo;สเต็มเซลล์&rdquo; นั่นเองค่ะ สเต็มเซลล์เป็นเซลล์ในระยะแรกเริ่มที่ยังไม่ได้แปรสภาพไปเป็นเซลล์ของอวัยวะไหนเป็นพิเศษ ยังไม่มีหน้าที่เฉพาะ ในเชิงอุดมคติมันจึงสามารถเติบโตไปเป็นเซลล์อะไรในร่างกายเราก็ได้นั่นเองค่ะ🧍&zwj;♀️🧍&zwj;♂️<hr>สายสะดือเกี่ยวอะไรกับสเต็มเซลล์<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4272/fde81f80-4b5d-4368-b45c-9bc218a68c40.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">อันที่จริงแล้ว สเต็มเซลล์มีอยู่ในหลายบริเวณของร่างกายสายสะดือเป็นเพียงอวัยวะหนึ่งที่มีสเต็มเซลล์ค่ะ ซึ่งก็นับเป็นส่วนที่สามารถเก็บสเต็มเซลล์ได้ค่อนข้างง่าย เพราะหลังคลอดบุตร สายสะดือจะถูกตัดทิ้งอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเก็บตั้งแต่อยู่ในร่างกายของคุณแม่👩 จึงเป็นส่วนที่เก็บแล้วจะไม่ทำให้คุณแม่เจ็บตัวเพิ่มค่ะทำไมจึงควรเก็บสเต็มเซลล์หลังจากเราทำความเข้าในความหมายของสเต็มเซลล์ไปแล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะเดาได้ไม่ยากใช่ไหมคะว่ามันมีประโยชน์อะไร เนื่องจากมันคือเซลล์ต้นกำเนิดของทุกเซลล์ในร่างกายเรา ในเชิงอุดมคติ หากเรามีสเต็มเซลล์สต็อคไว้ที่ไหนสักแห่ง ในเวลาที่เราเจ็บป่วย🤒 เซลล์ในร่างกายของเราส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดความเสียหาย เราก็จะสามารถดึงสเต็มเซลล์ที่เราเคยเก็บไว้มาทดแทนส่วนที่เสียหายได้ค่ะ<hr>ข้อจำกัดของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4272/ceee8d57-a389-4fcc-b6be-33f44d84fe43.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ในปัจจุบัน การเก็บสเต็มเซลล์เพื่อรอนำไปใช้รักษาโรค สามารถใช้ได้ผลและมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้กับโรคบางกลุ่มเท่านั้น เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือด🩸✨ในการนำไปใช้รักษาโรค ต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ระหว่างสเต็มเซลล์ของผู้บริจาคและร่างกายของผู้รับบริจาคด้วย ต้องบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่เซลล์ของเราจะเข้ากับเซลล์ของคนนอกสายเลือดของตนเองได้ ดังนั้น การเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือหลังจากที่คุณแม่คลอด🤰จะช่วยเพิ่มโอกาสในเรื่องของความเข้ากันได้เมื่อนำมาใช้รักษากับคนในครอบครัวของเรา แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันว่าจะเข้ากันได้ 100% อยู่ดีค่ะ✨ในความเป็นจริง สเต็มเซลล์ไม่ได้สามารถเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์ได้ทุกประเภทในร่างกาย อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านอาจจะงงใช่ไหมคะ เพราะมันค่อนข้างขัดกับความหมายของคำว่าเซลล์ต้นกำเนิดที่พูดถึงไปก่อนหน้า ต้องอธิบายเพิ่มเติมแบบนี้ค่ะ ถึงแม้จะเป็นเสต็มเซลล์ที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิด แต่สเต็มเซลล์ก็มีระยะของมัน สเต็มเซลล์ในกลุ่มที่แก่หน่อย ไม่สดใหม่ จะเติบโตไปเป็นเซลล์อื่นได้แค่บางชนิดเท่านั้น และสูญเสียความสามารถของสเต็มเซลล์บางอย่างไปค่ะ🫢&nbsp; &nbsp; &nbsp;ถึงแม้การใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาจะยังมีข้อจำกัดในหลายประเด็น แต่ยังไงถ้ามีโอกาสได้เก็บ หรือมีค่าใช้จ่ายเพียงพอในการเก็บ ไม่เดือดร้อนมากนัก การเก็บสเต็มเซลล์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ เพราะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษา หากในอนาคต เจ้าตัวน้อยของเรา คนในครอบครัวของเรา รวมไปถึงตัวเราเองเป็นโรคขึ้นมาจริงๆ จะได้มีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายมากขึ้นค่ะ

เก็บสายสะดือ สเต็มเซลล์ดีไหม?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;โดยปกติแล้วเวลาที่เรานอนหลับพักผ่อน😴 แน่นอนว่าดวงตาจะปิดสนิท👁️ใช่ไหมคะถ้าเกิดไม่ได้อยู่ในภาวะละเมอ แต่หากเจ้าตัวน้อยของเรากำลังนอนหลับแล้วตายังกรอกไปกรอกมาหรือเปลือกตาเปิดมากพอที่จะเห็นตาขาวก็ตาม แบบนี้ถือว่าเด็กกำลังนอนหลับหรือไม่ แล้วการนอนหลับแบบนี้มีสาเหตุมากจากอะไร เราไปดูกันเลยค่ะ💁&zwj;♀️<hr>รู้จักกับอาการนอนหลับแต่ปิดตาไม่สนิท<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4512/197f88b6-580d-480f-95bb-cde47afde10a.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">สำหรับภาวะดังกล่าว เป็นภาวะที่มีศัพท์เรียกเฉพาะว่า &ldquo;Lagophthalmus&rdquo; ค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วอาการหรือภาวะนี้ไม่ได้มีอันตรายต่อร่างกายหรือสุขภาพของทารก👶เลยค่ะ เพียงแต่ภาวะนี้มักเกิดขึ้นกับทารกบางคนที่กำลังนอนหลับลึก💤 จึงมีสมมุติฐานออกมาว่าการที่เด็กนอนหลับลึกแต่ไม่ยอมปิดตาอาจเกิดจากการที่ระบบประสาท🧠ของเด็กมีการตื่นตัวค่อนข้างสูงค่ะ ดังนั้นอาการหรือภาวะนี้มักจะหายไปเองตอนที่เจ้าตัวน้อยโตขึ้นค่ะทำไมเจ้าตัวน้อยจึงมีอาการนี้สำหรับสาเหตุของอาการนี้ยังไม่เป็นที่ระบุชัดเจนค่ะ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม🧬ได้ พูดง่ายๆคือในรุ่นของคุณพ่อคุณแม่👫 หรือสมาชิกคนใดในครอบครัวก็ตามอาจมีคนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวค่ะ แต่ในบางกรณีนั้น ภาวะนี้ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติบางอย่างของอวัยวะภายในร่างกายเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นภาวะกล้ามเนื้อดวงตา👁️ผิดปกติ เส้นประสาทหรือเส้นเลือดบริเวณใบหน้ามีความผิดปกติ จนไปถึงภาวะความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออย่างต่อมไทรอยด์เลยค่ะอาการนอนหลับไม่ปิดตาแบบไหนควรเฝ้าระวังเนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาถูกควบคุมด้วยเส้นประสาทคู่ที่ 7 ที่มาจากสมองค่ะ แต่นอกจากเส้นประสาทคู่นี้จะควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อดวงตาแล้ว มันยังควบคุมกล้ามเนื้อกลุ่มต่างๆบริเวณใบหน้า👶ด้วย จึงเป็นไปได้ว่าอันที่จริงแล้วกล้ามเนื้อดวงตาและกล้ามเนื้อใบหน้านั้นสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ แต่เกิดความผิดปกติขึ้นที่เส้นประสาทที่ใช้ควบคุมกล้ามเนื้อในกลุ่มดังกล่าวนั่นเอง โรคที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะเส้นประสาทคู่ดังกล่าวผิดปกติอีกที ก็อาจเป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง👂 การติดเชื้อภายในสมอง🧠 จนไปถึงเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถระบุสาเหตุได้เลยก็ได้ค่ะอาการผิดปกติที่อาจมีร่วมด้วย และบ่งบอกถึงอันตราย✨หากเจ้าตัวน้อยมีอาการปากเบี้ยว ออกเสียงหรือพูดไม่ชัด😬 (ในกรณีที่เด็กอยู่ในวัยที่สามารถพูดได้แล้ว) ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👨&zwj;⚕️ทันทีค่ะ ตามที่กล่าวไปว่าเส้นประสาทคู่ที่ 7 จากสมองมีส่วนในการควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นเส้นประสาทคู่ดังกล่าวจะควบคุมกล้ามเนื้อกลุ่มที่อยู่บริเวณปากของเด็กด้วยค่ะ อาการปากเบี้ยว🫦และพูดไม่ชัดจึงอาจบ่งงบอกว่าเส้นประสาทคู่ที่ 7 จากสมองกำลังมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง✨เจ้าตัวน้อยมีอาการแสบตาและมีน้ำตาไหล😢ร่วมด้วย เป็นอาการที่บ่งบอกว่าภาวะนอนหลับปิดตาไม่สนิทนั้นทวีความรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองที่มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อก่อโรคบริเวณดวงตา👁️ ก่อให้เกิดอาการอักเสบ มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียการมองเห็นจนไปถึงสูญเสียดวงตา👀เลยค่ะ<hr>หากมีอาการ ควรแก้ไขด้วยวิธีไหน?<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4512/e0bb7de7-cf17-4faa-a5e2-49df9c3ec7ff.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">วิธีที่&nbsp;1️⃣&nbsp;👉คุณแม่สามารถช่วยปิดเปลือกตาของเจ้าตัวน้อยเบาๆได้ในระหว่างนอนหลับ😴ค่ะวิธีที่&nbsp;2️⃣👉ในกรณีที่เด็กโตขึ้นมากแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าอาการจะดีขึ้น ควรนำเด็กเข้ารับการตรวจร่างกายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยว่าลูกของเรามีความผิดปกติเกี่ยวกับเส้นประสาทในสมอง🧠 กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าหรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆหรือไม่ค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;จะเห็นแล้วนะคะว่าอาการหรือภาวะนอนหลับไม่ปิดตานั้นพบได้ในเด็กอ่อน👶 เจ้าตัวน้อยมีแนวโน้มที่จะหายเองเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดไม่สบายใจ สามารถพาเจ้าตัวน้อยไปตรวจร่างกายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👨&zwj;⚕️เพื่อวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ หรือหากไม่มีความผิดปกติ แพทย์ก็อาจมีวิธีที่จะทำให้เด็กหายใจภาวะนี้ได้รวดเร็วมากขึ้นอยู่ดี เพราะฉะนั้นการไปตรวจร่างกายไว้ก่อนนั้นล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้าตัวน้อยทั้งสิ้นค่ะ

อันตรายไหม? ลูกนอนหลับแล้วแต่ตาปิดไม่สนิท 

임신하면 엄마들은 모든 것이 조심스러워져요. 특히 음식의 경우 엄마들은 임신 전에 좋아하던 것들을 먹지 못하는 경우가 많아서 스트레스를 받고는 해요. 그중 하나가 초콜릿인데요. 초콜릿🍫 에 들어있는 카페인과 당 성분 때문에 엄마들이 망설이는 경우가 많아요. 그렇다면 초콜릿 먹어도 될까요?<hr>초콜릿🍫 임산부에게 안 좋은 이유?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/891/07ea4d1f-9966-421a-949d-2b026dd126c3.gif" style="width: 100%;">왜 구러는 건데... 왜 안 좋은 건데....(아련)☕ 카페인임산부는 카페인을 분해하는 데 오랜 시간이 걸리는데요. 특히 카페인을 과다 섭취할 경우 혈관이 수축하고 철분 흡수에 방해를 받을 수 있어요. 초콜릿은 30g당 15~16mg 정도의 카페인이 함유되어 있는데요. 임산부 하루 카페인 권장량이 300mg 이하인 사실을 고려해 봤을 때 한, 두 조각 정도의 소량 섭취는 괜찮다고 해요.🍬 당초콜릿은 체내 혈당을 빠르게 높여주게 되는데요. 그 결과 임신성 당뇨의 위험성이 커질 수 있어요. 또 과다한 당 섭취는 체중을 증가시켜 임신성 고혈압, 임신 중독증까지 생길 수 있다고 하니 과다 섭취는 꼭 주의해야 해요.<hr>초콜릿🍫 긍정적인 효과?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/891/176ce918-fa7c-4512-aca9-b42e1f6b9ecd.gif" style="width: 100%;">이걸 어떻게 참을 수 있죠..?🩸 혈류공급아주 소량의 초콜릿 섭취는 건강에 좋다는 연구 결과도 있어요. 초콜릿의 주성분인 천연카카오🍃에 들어있는 플라보놀 성분이 활성산소를 제거해 혈액순환에 도움을 준다고 해요.&nbsp;😄 엔돌핀 활성화초콜릿은 엔돌핀을 활성화시켜 우울증을 낮춰주고 긴장과 불안을 완화해 준다고 해요. 엄마가 우울할 때 소량의 초콜릿은 태아까지 기분 좋게 만들어 주게 돼요.<hr>초콜릿🍫 대체간식은 무엇이 있을까?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/891/24a26b4e-f97c-4316-90e5-de7560202331.gif" style="width: 100%;">초콜릿을 대체할 수 있다구?!!🥜 견과류영양분이 높을뿐더러 한참 성장하는 태아의 뇌 발달에 좋은 음식이라고 해요.&nbsp;🍪 무설탕 비스킷카페인, 당이 없는 무설탕 비스킷은 초콜릿의 좋은 대체 간식으로 조금만 먹어도 포만감을 느낄 수 있어요.🍶 탄산수다른 첨가물이 없는 순수한 탄산수는 입덧을 하는 임산부들에게 좋은 간식이 될 수 있어요. 특히 당이 당길 땐 탄산수에 매실을 타서 마시면 좋은 대체 간식이 될 수 있어요.&nbsp;임신 중에 먹고 싶은 것을 무조건 참는 게 좋은 것은 아니에요.😷 엄마가 스트레스받는 것 보다 적절한 양을 섭취하는 것이 더 건강에 좋다고 해요💪 초콜릿의 경우 여러 첨가물이 섞인 일반 초콜릿보다 다크 초콜릿이나 천연 카카오로 만들어진 것을 먹는 것이 좋다고 하니 확인하고 안전하게 드시길 바랄게요!🙆🏻&zwj;♀️<a href="https://billyapplication.page.link/?link=https://billyapplication.page.link/community&apn=kr.villagebaby.billyapplication&isi=1497301126&ibi=kr.villagebaby.billyapplication&ofl=https://babybilly.app"></a>

임신 중 초콜릿🍫 먹어도 되나요?

왜 하지?💡<span data-sheets-userformat='{"2":771,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"11":4,"12":0}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"PAPP-A는 Pregnancy-Associated Plasma Protein A를 줄인 것이에요. 태반에서 형성되어 엄마와 같은 모든 임산부의 혈액에서 발견되는 정상 단백질로써, 다운 증후군과 같은 염색체 이상에의한 태아 기형의 위험성 여부를 알기 위해 하는 검사랍니다!"}'>PAPP-A는 Pregnancy-Associated Plasma Protein A를 줄인 것이에요. 태반에서 형성되어 엄마와 같은 모든 임산부의 혈액에서 발견되는 정상 단백질로써, 다운 증후군과 같은 염색체 이상에의한 태아 기형의 위험성 여부를 알기 위해 하는 검사랍니다!<span data-sheets-userformat='{"2":771,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"11":4,"12":0}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"용혈현상등으로 인한 유산, 조산, 사산의 위험을 줄일 수 있게 하는 검사에요! (검사의 결과가 Rh 음성이라면 태아 용혈 증후군을 의심할 수 있고 제 건강을 위해 면역 글로불린 주사, 임신 중 투약, 분만 시 수혈 준비를 하셔야 해요!.)"}'> 어떻게 검사하는데?💉<span data-sheets-userformat='{"2":6979,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"9":0,"11":4,"12":0,"14":[null,2,0],"15":"Arial"}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"엄마는 혈액검사를 해야해요. 채혈실에서 혈액 채취 후 검사용 용기에 담으면 나머지는 병원에서 해준답니다!"}'>엄마는 혈액검사를 해야해요. 채혈실에서 혈액 채취 후 검사용 용기에 담으면 나머지는 병원에서 해준답니다!<hr><span data-sheets-userformat='{"2":771,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"11":4,"12":0}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"용혈현상등으로 인한 유산, 조산, 사산의 위험을 줄일 수 있게 하는 검사에요! (검사의 결과가 Rh 음성이라면 태아 용혈 증후군을 의심할 수 있고 제 건강을 위해 면역 글로불린 주사, 임신 중 투약, 분만 시 수혈 준비를 하셔야 해요!.)"}'><span data-sheets-userformat='{"2":6979,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"9":0,"11":4,"12":0,"14":[null,2,0],"15":"Arial"}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"엄마는 혈액검사를 해야해요. 채혈실에서 혈액 채취 후 검사용 용기에 담으면 나머지는 병원에서 해준답니다!"}'>빌리의 TMI👩&zwj;⚕️:&nbsp; <span data-sheets-userformat='{"2":771,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"11":4,"12":0}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"용혈현상등으로 인한 유산, 조산, 사산의 위험을 줄일 수 있게 하는 검사에요! (검사의 결과가 Rh 음성이라면 태아 용혈 증후군을 의심할 수 있고 제 건강을 위해 면역 글로불린 주사, 임신 중 투약, 분만 시 수혈 준비를 하셔야 해요!.)"}'><span data-sheets-userformat='{"2":6979,"3":{"1":0},"4":[null,2,16777215],"9":0,"11":4,"12":0,"14":[null,2,0],"15":"Arial"}' data-sheets-value='{"1":2,"2":"엄마는 혈액검사를 해야해요. 채혈실에서 혈액 채취 후 검사용 용기에 담으면 나머지는 병원에서 해준답니다!"}'>PAPP-A 추가정보낮은 PAPP-A 결과란? (0.4 MoM 이하)<ul><li>적은 체중인 미숙아 출산 (태반이 정상에 비하여 역할을 잘 수행하지 못할 수 있어요)</li><li>조산의 확률이 높아져요</li><li>임신 중후기의 유산 확률이 높아져요</li></ul>

PAPP-A

ตอนนี้เป็นไข้ค่ะอยากสอบถามแม่ๆว่าสามารถทานยาแก้ไข้ ยาพารา ได้ไหมคะ

ไม่สบาย 14 week 

เป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A ตอน 9 week คุณหมอก็ให้ทานยาพารานะคะ ไม่เปนไรคะ

เราก็เป็นไข้หวัดตอนท้องได้15week ไปหาหมอหมอให้พารา ยาจิบแก้ไอมาค่ะ (แต่ไม่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ทานได้ค่ะ) 