That nervous feeling when you&rsquo;re about to meet your baby for the first time is engraved in your heart.💓 You just look at them in awe every time and gain strength to become the best parents for them. But you can&rsquo;t avoid stress along the way&hellip;<hr>Parenting stress<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3234/f35db480-c86e-4079-b434-9cf543dd0373.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">👪What is parenting stress?Parenting stress is the distress when you feel you can&rsquo;t cope as a parent.😞 After pregnancy, expectations and demands placed on you are so high that you seem to run out of resources and strength to meet them.&nbsp;👪What causes parenting stress?The causation varies depending on each family. Stress can originate from poor economic status, inadequate support system, and exposure to hostility.⚔️ Anything that makes you worry about your ability to protect your child and thrive can contribute to parenting stress.🙁<hr>Ways to cope with parenting stress<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3234/96a703ed-89e8-4ef2-8774-ac4322d93a12.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">👪Reach out for supportParenting is a lot easier if you have your supporters on your side.👪 Contact your friends, family members and especially your partner to share your feelings. You can always count on their support for emotional support, financial aid💰 and childcare help.If you don&rsquo;t live near friends or relatives, you can look for local parenting cooperatives, online communities and trained therapis&zwj;ts.😀 Enrolling in parenting classes can be helpful too as you can seek new friends, reduce your feelings of guilt and stress while gaining more knowledge.👪Avoid unnecessary exposure to signals that drag you downAfter a very brief exposure to negative emotional content, it&rsquo;s natural that you pay attention more to upsetting images, replay bad memories and worry about the future. Such thoughts keep circulating in your head, causing more anxiety and gloom.😥Overdosing on bad news spikes up your stress levels, undermines yourself and hurts you gradually. Instead, try to put yourself together, think constructively, think brightly.🤔 Everything will be just fine and you can do it!&nbsp;👪Focus on the goodYou can induce good moods by downloading happy memories into your head. Do you remember when your little one just took the first step or called your name for the first time? When you return home from work, remember how you feel when you see your child&rsquo;s smiles and hugs.🤗Reflect on good memories and read jokes, uplifting stories to make you feel better. Focusing on acts of kindness and positive messages will help you decrease stress responses.😀👪Re-appraise the situationWe often think that we are good at predicting things if we have a plan. Actually, we are pretty bad at anticipating future discomforts. Sometimes, stressful things just occur along the way.😞When bad things happen, you may find a coping strategy when you reconsider the situation from a new angle. Stop dwelling too much on your personal emotional reactions, try to view the problem with more objectivity.💪&nbsp;

Parenting stress

&nbsp; &nbsp; &nbsp;เชื่อว่าน้ำส้ม🍊คั้นนั้นถือเป็นน้ำผลไม้อันดับต้นๆที่เป็นตัวเลือกของคุณผู้อ่านหลายคน เนื่องจากส้มเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่าย มีจำหน่ายในทุกฤดู ราคาไม่แพง นอกจากจะได้ประโยชน์ในการรับประทานผลสดๆและการดื่มน้ำของส้มแล้ว ยังปฏิเสธได้ยากว่าน้ำส้มเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติถูกปากคนทั่วไป แต่สำหรับคุณแม่ที่กำลังมีเจ้าตัวน้อย👶นั้น การรับประทานน้ำส้มจะได้รับคุณประโยชน์ทางด้านอาหารเหมือนคนทั่วไปหรือไม่ ดื่มแล้วสร้างผลเสียอะไรต่อตนเองและทารกในครรภ์หรือเปล่า วันนี้บทความของเรามีคำตอบให้คุณแม่ค่ะ💁‍♀️<hr>สารอาหารที่พบเจอได้ในน้ำส้ม💫สารอาหารในกลุ่มโฟเลต&nbsp;ซึ่งรับเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากทั้งกับร่างกายของคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยในครรภ์🤰 มีบทบาทสำคัญในช่วงที่ร่างกายของเด็กกำลังพัฒนาเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง🧠 ปริมาณขั้นต่ำที่เป็นที่แนะนำในการได้รับแต่ละวันจะอยู่ที่ 600 ไมโครกรัมหรือ 0.6 มิลลิกรัมนั่นเองค่ะ💫สารอาหารในกลุ่มวิตามิน&nbsp;นั่นก็คือวิตามิน💊ในผลไม้รสเปรี้ยวที่เราต่างรู้จักกันดีในชื่อของวิตามินซีนั่นเองค่ะ วิตามินซีนับเป็นสารอาหารที่มีบทบาทในการบำรุงร่างกายของเราค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะทำหน้าที่ในด้านของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสียหายและการแก่ของเซลล์ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุจำพวกธาตุเหล็ก ซึ่งมีความสำคัญสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีขึ้นค่ะ💫แร่ธาตุอาหารในกลุ่มโพแทสเซียม&nbsp;โพแทสเซียมช่วยในการควบคุม ดูแล และบำรุงเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต🩸ในร่างกายเป็นหลัก และระบบอื่นๆของร่างกายอย่างหลากหลาย💫น้ำตาล&nbsp;ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มคั้นสด🍊หรือน้ำส้มที่ผ่านการเจือสีแต่งกลิ่นมา ล้วนมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้นในปริมาณที่ต่างกัน สังเกตได้จากการที่เราดื่มน้ำส้มแล้วจะรับรู้ถึงรสหวาน น้ำตาลเองก็จัดเป็นสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งนับเป็นกลุ่มหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกายค่ะ💫กากใยอาหารกากใยอาหารหรือไฟเบอร์🌿 ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่าย🚽ของเราค่ะ<hr>ประโยชน์ของการดื่มน้ำส้มจากหัวข้อก่อนหน้าด้านบนที่ว่าด้วยสารอาหารที่เราสามารถพบเจอได้ในน้ำส้ม เรามาดูกันต่อว่าแล้วสารอาหารเหล่านั้นมีประโยชน์ด้านใดบ้างต่อร่างกายของผู้ดื่มพัฒนาการทางด้านระบบประสาทและสมอง🧠เจ้าตัวน้อย👶ในครรภ์มีแนวโน้มที่จะมีพัฒนาการทางด้านระบบประสาทและสมองที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากคุณแม่ได้รับสารอาหารจำพวกโฟเลตเพียงพอ แม้จะเป็นสารอาหารกลุ่มที่ไม่ได้หาได้แค่ในน้ำส้มเพียงอย่างเดียว แต่การรับประทานน้ำส้มก็มีส่วนช่วยแน่นอนค่ะเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย🛡️เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง มีส่วนช่วยในการบำรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ผู้ดื่มไม่ป่วยง่าย หากป่วย😷ก็ไม่ป่วยหนักค่ะ และยังมีส่วนช่วยในแง่ของการบำรุงผิวพรรณให้ดูสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการชะลอวัย ไม่เพียงแต่ชะลอความแก่ของเซลล์ที่อวัยวะภายนอก ซึ่งทำให้เราดูอ่อนวัย🥰กว่าอายุจริง แต่ยังชะลอการแก่ของเซลล์ภายในร่างกายที่เรามองไม่เห็นอีกด้วยค่ะ นอกจากวิตามินซีที่ทำหน้าที่ในแง่ของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ส้มก็ยังมีสารชนิดอื่นๆที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นฟลาโวนอยด์หรือสารในกลุ่มซิตรัสค่ะระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ🫀ระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจมีแนวโน้มที่จะทำงานอย่างเป็นปกติ เนื่องจากส้มมีแร่ธาตุในกลุ่มโพแทสเซียมที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้เจ้าโพแทสเซียมเองยังมีแนวโน้มที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดนิ่วในไตและนิ่วภายในอวัยวะอื่นๆได้อีกด้วยค่ะเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย💪เนื่องจากน้ำส้มมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งอย่างที่ได้อธิบายก่อนหน้าค่ะว่าน้ำตาลเองเป็นสารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย การดื่มน้ำส้ม🍊ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์🤰มีส่วนช่วยที่จะทำให้คุณแม่รู้สึกมีแรงมากขึ้น มีความกระปรี้กระเปร่าในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นค่ะกระตุ้นระบบขับถ่าย🚽ช่วยให้ระบบขับถ่ายของคุณแม่ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ลดโอกาสในการเกิดภาวะท้องผูก ขับถ่ายไม่สะดวก💩 เนื่องจากส้มเป็นผลไม้ที่มีกากใย🌿อาหารค่อนข้างสูงอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากรับประทานเพียงแค่ส่วนน้ำที่คั้นออกมา ไม่มีเนื้อส้มลงไปเจือปนเลย โอกาสในการได้รับกากใยอาหารก็จะลดลงนั่นเองค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;จะเห็นแล้วนะคะว่าน้ำผลไม้ที่ดูหารับประทานได้ง่ายๆ ราคาไม่แพงนั้น ก็ยังมีคุณประโยชน์มากมายที่ก่อนหน้านี้พวกเราอาจจะมองข้ามไปหรือคิดไม่ถึง แต่ก็มีข้อควรระวังในการดื่มเช่นกัน อาหารทุกอย่างนั้นถึงแม้จะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกันหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป นอกจากนี้ยังควรตระหนักถึงด้านความสะอาดของเครื่องดื่มด้วย เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดมีโอกาสจะทำให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ติดเชื้อก่อโรค🦠ได้ค่ะ

กินน้ำสัมคั้นขณะตั้งครรภ์ปลอดภัยไหม?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คู่รักที่อยากมีลูกน้อย👶 ลองมาหลายวิธี เตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน แต่อาจมองข้ามสิ่งที่เป็นปัจจัยหลักในชีวิตประจำวันนั้นก็คือ อาหารการกิน🍲 ในชีวิตประจำวันนั้นเองค่ะ การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์มีผลมากที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีความพร้อมในการตั้งครรภ์ อะไรที่ควรทา อะไรที่ควรเลี่ยง เรารวบรวมมาให้แล้วค่ะ ไปดูกันเลย💁‍♀️<hr>อาหารที่ควรทาน ถ้าอยากมีลูก🍣แซลมอน ขึ้นชื่อว่า แซลมอน เราทราบกันดีว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่เต็มไปด้วยโอเมก้า 3 ซึ่งกรดไขมันดีที่ได้คือส่วนประกอบของฮอร์โมนเพิ่มสมดุลในการไหลเวียนของเลือดในการสืบพันธ์และยังช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย💩🦪หอยนางรมในหอยนางรมที่เรารู้จักกันดีนั่น จริงๆแล้วมันอุดมไปด้วยแร่ธาตุสังกะสี ทั้งยังช่วยกระตุ้นการผลิตไข่ให้มีคุณภาพ&nbsp;แนะนำให้ทานในช่วง1 สัปดาห์ก่อนวันตกไข่ค่ะ🥚ไข่อาหารหาทานง่ายๆแต่ได้ประโยชน์มาก ต้องยกให้ ไข่&nbsp;มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอยู่มากมาย บำรุงสมอง ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ถ้าเราทานไข่ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะสามารถช่วยคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย โดยเฉพาะไข่เป็ด🦆 คุณแม่ที่วางแผนตั้งครรภ์ควรจะทานทุกวัน &nbsp;ไข่เป็นอาหารง่ายๆ ทานได้ทุกวันที่พลาดไม่ได้เลยค่ะ🎃เมล็ดฟักทองเมล็ดฟักทอง เป็นธัญพืชที่มีธาตุเหล็กสูง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับมดลูก เป็นอาหารบํารุงมดลูก ช่วยเพิ่มความแข็งแรง💪ให้กับมดลูกได้ดีมาก🥑อโวคาโดอโวคาโด ขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ที่มีไขมันดีสูง ซึ่งเป็นกลุ่มไขมันที่ร่างกายต้องการและมีสารอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มความพร้อมให้กับคุณแม่ในการตั้งครรภ์🤰🥬ผักโขมผักขมมีโฟเลตสูง ซึ่งโฟเลตมีความจำเป็นอย่างมากต่อการตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์พิการ รวมถึงช่วยกระตุ้นร่างกายให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้การที่คุณแม่รับประทานผักใบเขียวเป็นประจำ จะช่วยร่างกายให้ได้รับเส้นใยอาหารอย่างเพียงพอระดับขับถ่ายทำงานได้ดี ลดปัญหาระดับขับถ่าย💩ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ค่ะ🥜ถั่วต่างๆจากผลงานการวิจัยรับรองว่า ผู้หญิงที่ทานโปรตีนจากถั่วสามารถเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากกว่า ผู้หญิงที่ทานโปรตีนจากสัตว์มาก ดังนั้นคุณแม่ที่กำลังวางแผนการตั้งครรภ์อยู่ควรเน้นการทานถั่ว โปรตีนจากถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง🫘 ถั่วปากอ้า ถั่วพู🫛 และถั่วแขก เป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงเหมาะสำหรับการทานแทนเนื้อสัตว์⚫️งาดำถ้าเราทานงาดำในปริมาณที่พอเหมาะเป็นประจำ อย่างวันละ 3-4 ช้อนชา จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายของเราผ่อนคลาย บำรุงสมอง ช่วดลดอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น😴 พักผ่อนเต็มที่ก็เหมือนเป็นการได้บำรุงไข่และมดลูกแข็งแรงพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์&nbsp;🍅มะเขือเทศเรารู้กันดีว่าในมะเขือเทศ มีไลโคปีน&nbsp;สังเกตว่าในการอาหารเสริมสำหรับผิวพรรณหลายแบรนด์จะมีสาร ไลโคปีน เพราะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน&nbsp;ช่วยให้ผิวเราดูสดใสขึ้น🥰 ปรับความสมดุลในร่างกาย&nbsp;บำรุงรังไข่ให้มีความสมดุลเหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์มากขึ้นค่ะ🍌กล้วยหอมเรื่องกล้วยๆ ปอกทานง่ายๆ แต่ประโยชน์ไม่ธรรมดานะคะ กล้วยเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและวิตามินบี 6 ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท🧠และกล้ามเนื้อค่ะ🥛นมสดนม เป็นแหล่งของแคลเซียม เพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่ไข่ตกได้ยากโดยเฉพาะในผู้หญิงที่ผอมหรือมีนํ้าหนักน้อย ควรดื่มนมเป็นประจำทุกวันนะคะ🍓ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ นอกจากจะมีรสชาติเปลี่ยนหวานและให้ความสดชื่นแล้ว&nbsp;ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการเจริญพันธุ์&nbsp;เบอร์รี่ต่างๆ จึงเป็น อาหารบํารุงมดลูก บำรุงการเจริญพันธุ์ให้คุณแม่ก่อนตั้งครรภ์🤰ได้ดีมากค่ะ<hr>อาหารที่ควรงด ลด เลี่ยงถ้าอยากมีลูก🍔ฟาสต์ฟู้ด / อาหารสำเร็จรูปถึงแม้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดและอาหารสำเร็จรูป🍜 จะสะดวกและตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำที่เร่งรีบ แต่ถ้าทานบ่อยๆเป็นประจำทุกวัน ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงหารทานอาหารเหล่านี้ และทานอาหารปรุงสดใหม่ เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่หรือทำอาหารทานเองที่บ้าน จะเหมาะกับคุณแม่ที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ที่สุดค่ะ🧁อาหารไขมันสูง ขนมหวานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสจัด หวานจัด เมื่อทานมากเกินไปจะส่งผลต่อภาวะน้ำหนักเกินได้ ซึ่งจะทำให้มีลูกได้ยากขึ้น พบว่าฝ่ายช่ายที่มีน้ำหนักเกิน&nbsp;จะมีจำนวนและความเข้มข้นของอสุจิลดลง และในฝ่ายหญิงที่มีน้ำหนักเกิน จะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเจริญพันธุ์ เช่น อาการประจำเดือนขาด🩸 หรืออาจมีภาวะตกไข่ไม่ปกติได้ค่ะ🧋ชา กาแฟอ้างอิงจากการวิจัยของโรงพยาบาลกลางมลรัฐแมสซาชูเซตส์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2550-2556 การวิจัยพบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ☕️หรือเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนบ่อยๆเป็นประจำ &nbsp;จะมีความเสี่ยงต่อการมีบุตรยาก เพราะคาเฟอีนอาจส่งผลให้คุณผู้ชายหลั่งอสุจิได้น้อยลง รวมถึงหากคุณแม่ดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน จะส่งผลให้โอกาสการตั้งครรภ์ลดลงถึง 25 % นอกจากนี้หากดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อภาวะแท้งบุตรมากกว่า คุณแม่ที่ไม่ดื่มกาแฟอีกด้วยค่ะ🥃เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากคุณพ่อคุณแม่อยากมีลูกง่ายๆ ควรลดหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด🙅‍♀️ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ยากขึ้น ยิ่งถ้าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ การดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ

เตรียมตัวอย่างไรเมื่ออยากมีลูก อะไรควรทาน อะไรควรเลี่ยง

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า โพแทสเซียมอยู่บ่อยๆ อาจได้ยินจากคำแนะนำของแพทย์ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์🤰 แต่จริงๆแล้วโพแทสเซียมคืออะไร สำคัญต่อการตั้งครรภ์และคุณแม่อย่างไร วันนี้เรามาหาคำตอบกันค่ะ💁‍♀️<hr>รู้จักโพแทสเซียม✨โพแทสเซียม&nbsp;คือแร่ธาตุที่มีความสำคัญมากต่อร่างกาย โดยโพแทสเซียมช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย และทำให้เกิดสมดุลของอิเล็คโทรไลต์ และยังมีหน้าที่สำคัญในการส่งแรงกระตุ้นจากเส้นประสาท🧠ไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว ซึ่งในร่างกายของเรามีโพแทสเซียมจำนวนมากที่สะสมอยู่ในเม็ดเลือดแดง🩸 ตับ กล้ามเนื้อ และกระดูก🦴<hr>ประโยชน์จากโพแทสเซียมต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์🛡️กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณแม่โพแทสเซียมมีส่วนช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายค่ะ เมื่อร่างกายของคุณแม่มีโพแทสเซียมที่เพียงพอ ร่างกายคุณแม่สร้างสมดุลได้ดี อีกทั้งยังกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท🧠ให้ทำงานได้ดีกับกล้ามเนื้อด้วยนะคะ หากคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีอิเล็คโทรไลต์ที่ไม่สมดุลจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของคุณแม่อ่อนแอลง💦สร้างสมดุลของเหลวในร่างกายคุณแม่โพเทสเซียมเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้เกิดสมดุลของอิเล็กโทรไลต์และสร้างสมดุลของเหลวที่อยู่ภายในร่างกายของคุณแม่ โดยเมื่อร่างกายมีสมดุลของเหลวในระดับดีก็จะช่วยลดอาการแขนและขาบวม🦵 ภาวะบวมน้ำของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้ค่ะ✨ช่วยลดการเกิดตะคริวที่แขนและขาของคุณแม่โพแทสเซียมมีส่วนช่วยในการทำงานของการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อ💪 ดังนั้นเมื่อคุณแม่มีโพแทสเซียมมากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ก็จะสามารถลดอาการตะคริวที่แขนและขา และลดอาการปวดขาจากการที่คุณแม่เดินเยอะ🚶‍♀️ด้วยค่ะ<hr>มีปริมาณโพแทสเซียม มากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ใช่ว่าจะดี⬆️หากโพแทสเซียมมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้นโพแทสเซียมสำคัญ จำเป็นต่อร่างกายก็จริง แต่อะไรที่มากเกินไป ย่อมส่งผลเสียตามมาค่ะ ถ้าคุณแม่เสริมโพแทสเซียมมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ🫀 หายใจลำบาก😮‍💨 เจ็บหน้าอก เมื่อยล้า หรืออาจมีอาการชาตามส่วนต่างๆของร่างกายตามมา &nbsp;⬇️หากโพแทสเซียมน้อยเกินไป จะเกิดอะไรขึ้นหากโพแทสเซียมในร่างกายคุณแม่ต่ำ มีปริมาณโพแทสเซียมในร่างกายน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ก็ย่อมไม่ดีต่อร่างกายค่ะ เพราะอาจทำให้คุณแม่มีอาการอาเจียนไม่หยุด🤮 ท้องเสียบ่อย💩 เกิดภาวะคั่งของน้ำหรืออาการบวมน้ำที่จะสร้างภาวะแทรกซ้อนที่เราไม่คาดคิดมาก่อนได้ค่ะโพแทสเซียมในอาหาร👉แนะนำอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง&nbsp;เราสามารถเลือกทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงได้จากกลุ่มผักสีเข้ม เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง🥜 นมและผลิตภัณฑ์จากนม กล้วย🍌 ลำไย ลูกพรุน ลูกเกด แครอท🥕 มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง หัวปลี ผักชี มันฝรั่ง คะน้า&nbsp;👉แนะนำอาหารที่มีโพแทสเซียมปานกลาง&nbsp;ผัก ผลไม้เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล🍎 เงาะ สับปะรด🍍 ส้ม🍊 องุ่น🍇 ลิ้นจี่ แคนตาลูป ส้มโอ มะม่วงดิบ หอมหัวใหญ่ มะเขือยาว มะละกอดิบ👉แนะนำอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำเราพบได้ในองุ่นเขียว แตงโม🍉 ชมพู่ บวบ เห็ดหูหนู ฟักเขียว ผักกาดขาว แตงกวา🥒 กะหล่ำปลี

โพแทสเซียม 

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ยินดีต้อนรับเข้าสู่การตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 14 หรือไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์นั่นเอง ถือเป็นช่วงที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากมาย คุณแม่อาจรู้สึกคลื่นไส้น้อยลง หิวบ่อยขึ้นและมีกำลังมากขึ้น เป็นเพราะคุณแม่กำลังเข้าสู่ช่วง “ฮันนีมูน” ของการตั้งครรภ์ค่ะ และจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายคุณแม่บ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>ทารกในครรภ์อายุ 14 สัปดาห์มีขนาดตัวเท่าอะไร?🍑ทารกมีขนาดตัวเท่าลูกพีช&nbsp;มีความยาวประมาณ 3.4 นิ้ว และมีน้ำหนัก 1.5 ออนซ์ ลูกน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วถึงหนึ่งเท่าตัวหรือราว ๆ นั้น และยังโตขึ้นอย่างรวดเร็วต่อไปเรื่อย ๆ ในสัปดาห์ที่ 14<hr>อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 14 สัปดาห์นั้น จะมีอาการต่าง ๆ ที่เคยมีในไตรมาสแรกลดลง แต่อาการต่างๆก็ยังไม่ได้หายไปหมด รวมไปถึงยังจะต้องเจอกับอาการใหม่อีกด้วย&nbsp;โดยรวมคุณแม่จะยังมีอาการดังต่อไปนี้- อาการปวดกล้ามเนื้อ คุณแม่จะรู้สึกถึงอาการปวดและเจ็บกล้ามเนื้อ เกิดจากการที่เส้นเอ็นยืดขยายออกเพื่อรองรับทารกที่กำลังโตในครรภ์🤰 หากอาการปวดมีความรุนแรงมากขึ้น คุณแม่สามารถปรึกษาคุณหมอได้นะคะ- มีพละกำลังมากขึ้น💪 เพราะคุณแม่รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกครั้งและมีพลังที่จะทำอะไรหลายอย่าง จึงถือเป็นช่วงเวลาเหมาะที่คุณแม่จะหันมาดูแลสุขภาพของตนเอง ด้วยการออกกำลังกายเบาๆค่ะ- มีความอยากอาหารมากขึ้น🍲 หลังจากที่คุณแม่ต้องพบเจอกับอาการแพ้ท้องมาอย่างหนักในช่วงก่อนหน้า ช่วงนี้คุณแม่จะรู้สึกว่าสามารถทานอาหารได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอาหารเหล่านั้นจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตอันรวดเร็วของทารกใน อย่าลืมหาของว่างที่มีประโยชน์เอาไว้ใกล้มือด้วยนะคะ เผื่อคุณแม่มีอาการหิวระหว่างวันขึ้นมา&nbsp;- เส้นผมมีลักษณะหนาและเงางาม💇🏻‍♀️ นี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับคุณแม่เลยนะคะ เพราะคุณแม่จะสังเกตได้ว่าผมตัวเองนั้นหนา และมีลักษณะเงางามมากมากยิ่งขึ้น<hr>ท้องของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์ เป็นยังไง👉คุณแม่จะรู้สึกปวดหรือเจ็บในท้องเมื่อท้องได้ 14 สัปดาห์ คุณแม่อาจรู้สึกปวดหรือเจ็บในท้องได้ นั่นเป็นเพราะมดลูกกำลังขยายตัวเพื่อรองรับการเติบโตของทารกในครรภ์🤰 รวมไปถึงในช่วงนี้คุณแม่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณแม่มีดัชนีมวลกายปกติ คุณหมอจะแนะนำให้คุณแม่เพิ่มน้ำหนักประมาณอาทิตย์ละหนึ่งปอนด์ โดยเริ่มตั้งแต่สัปดาห์ที่ 14 นี้เอง แต่ในกรณีที่คุณแม่มีดัชนีมวลกายต่ำหรือสูงกว่าเกณฑ์ หรือในไตรมาสแรกคุณแม่น้ำหนักลดหรือเพิ่มเกินกว่าที่ควร คุณหมอก็จะแนะนำเกณฑ์น้ำหนักที่ต่างออกไปเล็กน้อยค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปได้ว่าคุณแม่ควรที่จะกลับมาออกกำลังแล้วในช่วงตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์ได้แล้วค่ะ เพราะพลังของคุณแม่กลับมาเป็นปกติแล้ว คุณแม่สามารถเข้าร่วมคลาสโยคะ🧘‍♀️สำหรับคนท้อง การเดินออกกำลังกาย หรือว่ายน้ำเบาๆได้ด้วยเช่นกัน

อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์

아이가 자주 울고 밤잠을 설칠 때마다 많이 힘드시죠?😢 백색소음이 이럴 때 우리 아이와 엄빠에게 큰 도움이 될 수 있어요. 백색소음이 뭐길래 우리 아이 수면에 도움이 되는 것인지, 근거는 있는 것인지 궁금하시죠? 빌리가 엄빠에게 필요한 정보만 콕콕 담아 정리해 보았어요📝. 백색소음 사용 시 주의사항까지 모두 알아가세요!<hr>백색소음, 그게 뭔데?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/973/9092d1c3-2aec-48ef-9276-15ea30085a65.gif" style="width: 100%;">저는 파도소리가 제일 좋더라구요&nbsp;✨백색소음이란?백색소음은 전체적이고 패턴이 없는 넓은 음의 폭을 가진 소리예요. 프리즘에 하얀색 빛이 통과하면 모든 스펙트럼의 색을 보여주듯이 다양한 음높이의 소리를📢 합한 소리가 백색소음이라고 불러요. 우리가 흔히 들을 수 있는 라디오에서 나오는 잡음, 진공청소기, 파도소리, 빗소리 등이 백색소음이에요. 이러한 백색소음은 신생아를👶 진정시키면서 수면에 도움을 줄 수 있어요. 이는 아이가 태아로 있을 때 엄마의 심장 박동소리, 음식 씹는 소리, 트림 소리 등 다양한 소음에 적응되어 왔기 때문이에요.✨다양한 백색소음청소기를 돌리거나 세탁기 돌아가는 소리, 설거지하는 소리 등 집안일 하는 소리가👂 너무 조용한 환경보다 정서적 안정감을 높여 주어요. 특히 진공청소기 소리는 균일한 저 주파수 소음이고 자궁 속의 소리 주파수와 비슷하다고 해요. 빗소리, 파도소리, 바람 부는 소리, 새소리 등도 심신 안정에 도움을 주어요.👍✨백색소음 근거 있어?1990년에 발표된 연구에 따르면, 백색소음의 영향을 받는 아이가 더 빨리 잠들었다고 해요😴. 당시 연구팀은 신생아 40명을 대상으로 조사를 진행했는데요. 그 결과, 백색소음을 들은 아이들 중 80%가 5분 만에 잠든 것이죠. 전문가들은 백색소음 기계 사용 시 적정 거리, 음량 등의 기준을 지켜 사용할 것을 권장하고 있어요.<hr>백색소음, 어떻게 활용할까?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/973/493dc904-f300-4115-853e-44613958be71.gif" style="width: 100%;">어디 보쟈...😭 아이가 울 때세상에 나온 아이는 다양한 자극을 한꺼번에 받으며 스트레스도 함께 받아요. 그래서 자주 우는데요. 이때 조용히 달래기보다는 백색소음을 들려주어 정서적 안정감💗을 찾을 수 있게 해주면 좋아요.&nbsp;😴 아이를 잠재울 때신생아는 20~25분마다 한 번씩 깨어나요. 잠에서 깰 때 백색소음을 들려주거나 자장가를 불러 주세요. 자장가는 낮은 음역에 부드러운 목소리로 심장박동💞 수와 비슷한 것을 불려주면 좋아요.&nbsp;<hr>백색소음 사용 시 주의할 점!<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/973/9f658bc2-8bb6-4ec7-9be3-1b374a610cc1.gif" style="width: 100%;">백색소음 이렇게 사용하면 위험다닛!우리 아이의 수면을 위한 백색소음🎶! 잘못 사용하면 되려 아이에게 해를 입힐 수도 있어요. 2014년 미국소아과협회는 연구를 통해 영유아 백색소음 기계 14종에서 모든 기계가 권장 소음 수준인 50dB를 초과하고 있다는 것을 확인했어요. 그들은 백색소음을 잘못 사용하면 아이에게 청력 문제가 발생할 뿐만 아니라 언어 능력 개발에도 문제가 발생할 수 있다는 사실도 밝혀냈어요.&nbsp;소아과 전문의들은 어떤 백색소음 기기든 아이 침대에서 최소 2m 떨어진 곳에 위치해두고 사용할 것을 권장하고 있어요. 주변 환경이 조용한 가운데 백색소음을 사용할 경우, 소리 크기와 거리를 반드시 신경 써 주시길 바라요🌟.

신생아 백색소음의 모든 것

วันนี้เราจะมาดูกันว่าท้องสองจะมีความแตกต่างจากการท้องครั้งแรกอย่างไรบ้าง คุณแม่ท่านใดที่กำลังตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 อยู่อาจกำลังรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อยู่ก็ได้ค่ะ<hr>คุณแม่มีความกังวลน้อยลง<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3036/ed11c57f-95a2-4c3c-8630-8f9736933932.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เพราะคุณแม่🤰เคยมีประสบการณ์การตั้งครรภ์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อคุณแม่ท้องครั้งที่สองจึงทำให้คุณแม่กังวลและเครียดน้อยลง คุณได้เรียนรู้ไปแล้วว่าจะต้องทานอะไร ทำพฤติกรรมอะไรจึงจะเหมาะสม จึงทำให้เกิดความกังวลน้อยลงนั่นเองค่ะแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณแม่ก็ยังมีความกังวลในเรื่องของการสังเกตลูกในครรภ์ หรือการดูแลตนเอง คอยทานอาหารให้ลูกได้สารอาหารที่ครบถ้วน🥗 แน่นอนว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีการเจริญเติบโตที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณแม่ก็ยังคงมีเรื่องให้กังวลอยู่ แต่ว่าจะกังวลน้อยลงกว่าคนแรกแน่นอนค่ะ<hr>ขนาดของครรภ์ และ ปริมาณการทาน<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3036/5b5b2ef5-f21d-4122-bb71-c5d2540f5a8b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ขนาดของครรภ์จะใหญ่กว่านั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคุณแม่คลอดครรภ์แรกไป มดลูกจะหดตัวกลับเข้ามาได้ไม่เท่ากับตอนก่อนตั้งครรภ์ ดังนั้นเมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่สองจึงทำให้มดลูกขยายตัวได้เร็วกว่า รวมถึงคุณแม่จะเห็นหน้าท้องของตัวเองในสัปดาห์ที่ 12-15 ของการตั้งครรภ์ในครรภ์ที่สอง ซึ่งจะไวกว่าในครรภ์แรกที่จะเห็นได้ประมาณสัปดาห์ที่ 15 จึงทำให้รู้สึกว่าท้องใหญ่กว่านั่นเอง🤰&nbsp;ทานอาหารได้เยอะขึ้นเนื่องจากในท้องแรกคุณแม่จะกังวลในเรื่องอาหารกลัวอาหารที่ทานเข้าไปจะไม่เป็นผลดีต่อทารกในครรภ์ จึงพยายามหลีกเลี่ยงอาหารต่างๆ แต่พอในท้องสองคุณแม่เริ่มมีประสบการณ์และจำได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทาน จึงทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น😋 และทานอาหารได้มากขึ้นนั่นเองค่ะ&nbsp;<hr>การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวและการคลอด?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3036/f9ec311f-069a-4846-bd1e-637580bddcc8.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">น้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าท้องแรกแม้ว่าจะไม่ใช่คุณแม่ทุกคนที่น้ำหนักขึ้นมากกว่าตอนท้องแรก แต่ก็มีหลายๆคนที่เป็นจึงคิดว่าลูกจะต้องตัวใหญ่แน่ๆ สำหรับคุณแม่คนไหนที่น้ำหนักเพิ่มอาจใช้วิธีออกกำลังกายเบาๆ🏊&zwj;♀️ ช่วยได้นะคะ&nbsp;คลอดง่ายขึ้นหากคุณแม่ใช้วิธีคลอดด้วยตนเองตั้งแต่ครรภ์แรก ในครรภ์ที่สองคุณแม่จะรู้ว่าจะต้องเบ่งอย่างไร และหายใจอย่างไรในการคลอด รวมถึงปากมดลูกของคุณแม่จะมีความยืดหยุ่นและเปิดได้ง่ายกว่า ทำให้ระยะเวลาในการคลอดนั้นไวกว่าในครรภ์แรกนั่นเองค่ะ👶

ท้องสองมีอะไรแตกต่างจากท้องแรกบ้าง เราไปดูกัน!

태어난 아이는 놀라운 속도로 신체와 두뇌를 발달시켜 나가는데 대표적으로 늘어나는 게 바로 몸무게죠! 우리 아이가 지금 적정 몸무게인지 아닌지 엄빠는 궁금할 거예요🤷&zwj;♀️ 잘 자라고 있는 건지, 또래보다 적게 나가거나, 너무 많이 나가는 건 아닌지 걱정이 되기도 할 텐데요. 소아과 전문의 선생님을 모시고 바로 그 궁금증과 걱정을 해소해보도록 할게요🙂<hr>출생 체중과 표준 체중에 대한 정보&nbsp;!☝️ 100일이 되면 출생체중의 2배가 된다?!<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/57b69078-243f-436d-b597-8ec9ebb582b4.webp" class="fr-fic fr-dib">출생 체중에 대한 오해 !혹시 100일이 되면 아기는 출생체중의 2배가 된다는 말, 들어보셨나요?👀 사실 이 공식은 출생체중이 표준체중일 때 계산할 수 있는 공식이에요. 표준체중으로 태어난 아이는 평균치의 성장을 했을 때 100일 때 2배 정도가 되지만, 아이들마다 출생체중이 다 다르기 때문에 위 공식은 반은 맞고 반은 틀려요!! ⭕❌ ☝️ 질병관리청에서 성장도표를 보자!<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/d1155d62-c65a-4460-848d-98402039bd20.webp" class="fr-fic fr-dib">성장도표를 통해 내 아이의 적정 체중 찾기!진리의 케바케! 따라서 위 공식을 따르는 대신에 <a href="https://www.kdca.go.kr/index.es?sid=a2">질병관리청 홈페이지</a>에서 소아청소년성장도표를 보면서 도표 안에서 내 아이의 적정 체중이 어느 정도인지 확인해 보는 게 더 낫답니다✔️&nbsp;성장도표를 보다 보면 표준체중에서 벗어날수록 이 공식이 안 맞는다는 걸 알 수가 있어요! 또래보다 체중이 적게 태어난 아이들은 시간이 지남에 따라 더 빨리 크고, 반대로 체중이 많게 태어난 친구들은 표준체중으로 들어가기 위해 적정하게 크기 때문이지요🤗<hr>영유아 검진을 통해 우리 아이 몸무게를 확인하자!우리 아이의 성장 정도는 무엇일까?!☝️질병관리청 홈페이지에서 확인할 수 있다!<a href="https://www.kdca.go.kr/index.es?sid=a2">질병관리청 홈페이지</a>에서는 내 아이의 상대적인 위치를 알 수 있는 퍼센타일을 구할 수가 있어요. 50퍼센타일이면 중간, 1퍼센타일로 갈수록 또래보다 키가 작거나 체중이 덜 나가고, 50에서 100으로 갈수록 또래보다 키가 크고 체중이 더 나간다고 보면 돼요!🧐&nbsp;☝️영유아 검진을 받으면 알 수 있다!그런데 우리나라엔 &lsquo;영유아 검진&rsquo;이라는 제도가 있어서 최소 1년에 한 번씩 병원에 갈 때마다 퍼센타일을 구해줘요. 굳이 수고스럽게 퍼센타일을 따로 안 구해도 된다는 뜻이죠! 영유아 검진만 받아도 퍼센타일을 구해주니 참 편리하죠?😉☝️ 지나친 걱정은 노노!건강한 신생아의 경우 체중을 너무 자주 재는 것을 추천하지 않아요😅 주치의 선생님께서 따로 체중을 관리하라고 얘기를 하지 않은 경우에는, 예방접종이나 영유아 검진을 할 때 체중을 재는 것만으로도 충분해요! 그래도 너무 불안해서 체중을 재고 싶다면 2주에 한 번을 권장해요. 매일 아이를 수치상으로 보기보다는 아이의 온전한 지금 모습에 조금 더 집중하면 좋지 않을까요? 다시 오지 않는 소중한 시간이니까요!❤️<iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/FBl0qtvAsJ8?&wmode=opaque" frameborder="0" allowfullscreen="" class="fr-draggable">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</iframe>출처: 우리동네 어린이병원, 우리어린이

생후 100일, 출생 체중에 2배가 되는게 맞나요?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่หลายๆ ท่านคงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกชื่อให้ลูกกันอยู่ใช่ไหมคะ ในสัปดาห์ที่ 21 คุณแม่จะไม่ได้เลือกแค่ชื่อนะคะ ยังมีสิ่งของส่วนตัวที่คุณแม่จะต้องจัดเตรียมให้พร้อมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเปลนอน ผ้าอ้อม หรือถ้าเลิกผลิตภัณฑ์อาบน้ำสำหรับเด็ก จะมีอาการอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ทางเราได้หาคำตอบมาให้คุณแม่ทราบแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>ทารกในครรภ์อายุ 21 สัปดาห์มีขนาดตัวเท่าอะไร?🥬ทารกมีขนาดตัวเท่าหัวผักกาดขาว&nbsp;ทารกจะมีขนาดตัวยาว 10.5 นิ้ว และหนัก 12.7 ออนซ์ ตอนนี้ทารกตัวใหญ่พอที่จะทำให้หลัง ๆ มานี้คุณแม่รู้สึกได้มากขึ้นเวลาที่ลูกขยับอยู่ในท้อง<hr>อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 21 สัปดาห์อาการโดยทั่วไปของอายุครรภ์ 21 สัปดาห์ นั้นเหมือนเป็นการนำร่องเข้าสู่ไตรมาสที่สามโดยจะมีอาการดังต่อไปนี้- อาการแสบกลางอก หรืออาหารไม่ย่อย คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรถเผ็ด🌶️หรือมันมากนะคะ รวมถึงสิ่งที่อาจทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ด้วย ถ้ายังไม่ทราบว่าอาการที่เป็นอยู่เกิดจากอะไรกันแน่ ลองจดรายละเอียดสิ่งที่รับประทานดูนะคะ- อาการเจ็บเตือนหรือเจ็บหลอก มดลูกของคุณแม่อาจบีบตัวขึ้นมาเป็นครั้งคราวเวลาที่มันเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด🚼 ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปกติมาก ตราบใดที่การบีบตัวหายไปเมื่อคุณแม่เปลี่ยนท่าทาง และควรแจ้งคุณหมอให้ทราบนะคะหากอาการปวดไม่หายไป- น้ำนมซึม🍼 ท่อน้ำนมของคุณแม่จะมีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ในช่วงปลายไตรมาสที่สองนี้ อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ เริ่มเลือกซื้อเสื้อชั้นในให้นมนะคะ- อาการผิวแห้งและคัน ผิวของคุณแม่ยืดออกพร้อมกับท้องที่โตขึ้น ซึ่งก็ทำให้ระคายเคืองมากขึ้นไปด้วย ลองหาน้ำมันทาผิวหรือโลชั่น🧴มาทา เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นและคันน้อยลง หากมีผื่นขึ้น ควรแจ้งคุณหมอทันทีค่ะ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่สร้างความรำคาญซึ่งมีชื่อว่า โรคผื่นลมพิษคุณแม่ตั้งครรภ์ (PUPPP)- เผชิญกับรอยแตกลาย ผิวของคุณแม่บางลง🤰จากการที่ลูกโตขึ้น ทำให้เกิดการฉีกขาดของชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ใต้ผิวหนังกำพร้าบริเวณหน้าท้อง รอยแตกนี้พบได้บ่อยและเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงบางคนเพราะอาจเกิดจากการที่คนในครอบครัวมีรอยแตกนี้เช่นกันหรือเกิดจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณแม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับคนท้องดูนะคะ<hr>การอัลตร้าซาวน์ในช่วงตั้งครรภ์ 21 สัปดาห์ทารกมีการพัฒนาของระบบย่อยอาหารและระบบสืบพันธุ์ในช่วงอายุครรภ์ 21 สัปดาห์นั้นระบบย่อยอาหารของทารกมีการพัฒนามากขึ้นแล้ว พร้อมสำหรับการออกมาเจอโลกภายนอก ลูกจะสร้างขี้เทาขึ้นมาซึ่งก็คืออุจจาระสีดำ💩ลักษณะเหมือนน้ำมันดินเช่นเดียวกับที่ทารกถ่ายออกมาเป็นครั้งแรกนั่นเองค่ะ รวมไปถึงมีการเริ่มพัฒนาระบบสืบพันธุ์แล้วเช่นกันค่ะ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง👧 ตอนนี้ลูกมีไข่สะสมสำหรับตลอดทั้งชีวิตอยู่ในมดลูกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีจำนวนถึงหกล้านใบเลยทีเดียวค่ะ! ส่วนเด็กผู้ชายนั้น👦 ลูกอัณฑะยังอยู่ในท้องของเขา แต่จะเคลื่อนลงมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเมื่อถุงอัณฑะพัฒนาจนสมบูรณ์&nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปได้ว่าในช่วงอายุครรภ์ 21 สัปดาห์ คุณแม่ควรนัดตรวจคัดกรองโดยการใช้น้ำตาลกลูโคส และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับคนท้อง🧴 เพื่อเป็นการป้องกันรอยแตกลายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการขยายตัวของผิวหนังนั่นเองค่ะ

อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 21 สัปดาห์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่มักเคยได้ยินคำว่า Organic และ Naturalในสกินแคร์ของคนท้องอยู่บ่อยๆใช่ไหมคะ &nbsp;แบรนด์ต่างๆมักเคลมว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อคุณแม่ท้อง แต่จริงๆแล้วาผลิตภัณฑ์แบบOrganic และ Natural แตกต่างกันอย่างไรบ้าง?🤔 เราไปหาคำตอบพร้อมๆ กันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>ผลิตภัณฑ์ Organic คืออะไร?การที่ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองว่าเป็น “ออร์แกร์นิค” หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องปลอดภัย✅และดีต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะตลอดกระบวนการผลิต ไปจนถึงการบรรจุผลิตภัณฑ์จะไม่มีการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อมนั่นเองค่ะ&nbsp;เราขอยกตัวอย่างเกณฑ์การรับรองของ USDA ออร์แกนิค ของอเมริกา🇺🇸 มาให้คุณแม่ได้เห็นภาพกันค่ะ &nbsp;การรับรองจาก USDA Organic &nbsp;จะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้1️⃣ Organic 100%ส่วนผสมทั้งหมดในผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านการผลิตแบบออร์แกนิค 100% ไม่ว่าจะเป็นการปลูก🌾 เก็บเกี่ยว ตลอดจนการสกัด หากผ่านมาตรฐานก็จะได้รับอนุญาตให้แสดงตราประทับของ USDA Organic บนบรรจุภัณฑ์ได้2️⃣ Organic&nbsp;ส่วนผสมทั้งหมดในผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านการผลิตแบบออร์แกนิค อย่างน้อย 95% และอีก 5% ที่เหลือจะเป็นสารเคมีแบบเป็นธรรมชาติหรือไม่เป็นธรรมชาติก็ได้ แต่ต้องเป็นที่ยอมรับ ถึงจะได้รับอนุญาตให้แสดงตราประทับ🕹️ของ USDA Organic บนบรรจุภัณฑ์ได้นั่นเองค่ะ3️⃣ มีส่วนผสมที่เป็น Organicผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเป็นออร์แกนิค ต้องมีอย่างน้อย 70% และอีก 30% เป็นสารเคมีที่ได้รับการยอมรับเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์แบบออร์แกนิค&nbsp;ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์แบบนี้จะผ่านการรับรอง แต่จะไม่ได้รับอนุญาต🙅‍♀️ให้แสดงตราประทับ USDA ออร์แกนิค บนบรรจุภัณฑ์นะคะ4️⃣ มีส่วนผสมที่เป็น Organic น้อยกว่า 70% (Less than 70% organic ingredients)&nbsp;ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้คำว่า “ออร์แกนิค” รวมไปถึงการแสดงตราประทับ USDA ออร์แกนิคบนบรรจุภัณฑ์ แต่ได้รับอนุญาตให้ระบุส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิคในตารางแสดงรายการส่วนผสม📄พร้อมทั้งระบุเปอร์เซ็นต์ที่ใส่ลงไปได้สรุปได้ง่ายๆว่า ผลิตภัณฑ์ที่จะเคลมคำว่า ออร์แกนิค (Organic) ลงบนผลิตภัณฑ์ได้นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ส่วนผสมจากธรรมชาติเท่านั้น แต่จะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและได้รับการรับรองจากสถาบันเหล่านี้ด้วย🧾&nbsp;<hr>ความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบ organic vs natural คืออะไรบ้าง?👉สกินแคร์ออร์แกนิค (Organic Skincare)&nbsp;คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ☘️ โดยตลอดทั้งกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการปลูก เก็บเกี่ยว หรือสกัดออกมาจะต้องไม่ผ่านการใช้สารเคมีใดใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ย่าฆ่าแมลง🐞 หรือสารอนินทรีย์อื่นๆ&nbsp;แต่อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้ออกความคิดเห็นว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่เรารู้จักก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิดเสมอไป โดยเฉพาะสกินแคร์ที่ไม่ได้มีการระบุว่าเป็น “ออร์แกนิค 100%” มักจะแฝงไปด้วยสารเคมีอันตรายอย่าง สเตียรอยด์ ไฮโดรควิโนน พาราเบน ซัลเฟต พทาเลต เป็นต้น ซึ่งผู้ผลิตมักจะใส่สารเคมีเหล่านี้ลงไปในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่รวดเร็ว🚀&nbsp;👉สกินแคร์จากธรรมชาติ (Natural Skincare)&nbsp;คือ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มุ่งเน้นว่าส่วนผสมเหล่านั้นได้มาจากอะไร มีกระบวนได้มาอย่างไรบ้าง แต่จะเน้นไปที่สรรพคุณและประสิทธิภาพของส่วนผสมเหล่านั้นแทนค่ะ📝 &nbsp;แพทย์ผิวหนัง👨‍⚕️ของโรงพยาบาลการสอน มหาวิทยาลัยลากอส เมืองอิเคจา ได้กล่าวว่า คุณแม่ท้องหลายท่านรู้สึกว่าสกินแคร์จากธรรมชาติมักจะดีกว่าสกินแคร์ออร์แกนิค แต่ความจริงแไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะแพทย์ได้พบเห็นคุณแม่จำนวนมากที่ได้รับผลข้างเคียงมาจากการใช้ครีมที่พวกเขาซื้อผ่านทางออนไลน์📱 เพียงเพราะในโฆษณาเคลมว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็น “ธรรมชาติ หรือ ออร์แกนิค” แต่ไม่มีการแสดงให้เห็นถึงที่มาที่ไปของส่วนผสมที่พวกเขาอ้างว่าเป็นธรรมชาติหรือออร์แกนิคเหล่านั้นเลย&nbsp; &nbsp; &nbsp;ดังนั้น ก่อนคุณแม่ตัดสินใจซื้อสกินแคร์ออร์แกนิค หรือสกินแคร์จากธรรมชาติ ควรตรวจสอบ🔎เลขทะเบียน อย. ของผลิตภัณฑ์และคำเคลมว่าไม่มีพาราเบน สาร SLS ไฮโดรควิโนน แอลกอฮอล์ และน้ำหอมที่ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์🤰ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย คุณแม่ควรใส่ใจและระมัดระวังในการเลือกใช้สกินแคร์ออร์แกนิคและ สกินแคร์ธรรมชาติ เพราะถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆในการใช้ครีมจะแสดงผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อ แต่หลังจากที่คุณแม่หยุดสกินแคร์เหล่านั้น ผิวอาจจะกลับมาเป็นเช่นเดิมหรือแย่ลงกว่าเดิมก็เป็นไปได้ค่ะ&nbsp;

สกินแคร์คนท้องแบบ Organic และ Natural ต่างกันอย่างไร?

우리나라는 대부분 신생아🐥때부터 엄마의 향기를 맡으며 함께 잠자리를 이용해요. 하지만 외국에서는 태어난 직후부터 바로 아이 방을 따로 독립하여 분리 수면을 하기 시작한답니다. 이처럼 적절한 시기의 분리 수면은 아이의 독립성과 건강한 부부관계를 위해서 가장 중요한 일 중 하나예요.&nbsp;그러면 우리는 언제부터 아이를 따로 재우기 시작하는 것이 좋을까요? 기저귀를 뗄 세 돌쯤, 학교 입학 시즌, 사춘기 등 다양한 시기로 많이 고민하고 있는데요. 그래서 오늘은 부모와 아이 모두 힘든 과정 없이 수면 독립할 수 있는 시기와 방법에 대해 알려드릴게요.👍<hr>Why? 분리 수면이 필요한 이유!아이의 독립성을 키워주기 위해서는 분리 수면😍이 가장 큰 역할을 해요. 많은 부모가 분리 수면을 비롯하여 독립성을 키우는 것이 마치 부모 자식 사이의 애착 형성에 있어서 크게 문제가 있을 것으로 생각하지만, 그것은 전혀 달라요. 아이가 무언가를 스스로 할 수 있도록 부모가 환경을 만들어주는 것, 그 환경에서 아이가 혼자 해냈을 때 느끼는 성취감은 앞으로 살아가는 데 큰 원동력이 될 수 있어요. 또한 그 과정에서 부모가 뒤에서 기다려주며 응원하는 것은 아이 자신감의 큰 토대를 만들어 줄 거예요.처음에는 부모와 아이 모두 적응의 시간을 갖느라 힘들겠지만🥲, 그 시간이 지나가서 아이가 자신만의 공간에 익숙해질 거예요. 그러면 아이는 정서상 안정감을 느끼게 되고 자신만의 공간을 관리할 능력이 생길 수 있어요.&nbsp;<hr>When? 분리 수면의 시기!분리 수면을 해야 할 정답의 시기는 없어요. 하지만 부모와 아이 모두 거부감 없이 좀 더 편하게 적응할 수 있는 시기로는 3번의 시기가 있어요.&nbsp;🛌첫 도전, 6개월아기를 따로 재우는 교육 방침을 세웠다면, 6개월 내외로는 혼자 자는 연습을 시작하는 것이 좋아요! 낮밤을 모르고 쿨쿨 자는 신생아 시기를 지나 '뭘 좀 아는' 6개월이 지나가면, 분리 불안이 생겨서 갑자기 따로 재우는 것이 힘들어져요. 만일 이 시기를 놓쳤다면 분리 불안이 사라지는 2~3세쯤에 다시 따로 재우기를 시작하는 것이 일반적이니 6개월이 최적의 기회일 수 있어요.&nbsp;🛌만2~3세 이후이 시기에는 아이의 발달 과정에서 분리 불안이 어느 정도 감소하는 시기예요. 그리고 이 때쯤에는 기저귀를 떼고 대소변을 가리거나 밤에 혼자 화장실을 가서 소변을 볼 수 있을 시기라 분리 수면을 시작하기에 좋아요. 그렇다고 어느 날 갑자기 아이에게 방에 가서 혼자 자라고 하면 힘들 수 있어요. 독립을 위해서는 시간적⏳ 여유를 가지고 아이에게 천천히 설명해주면서 아이와 부모 모두 연습할 시간을 가져야해요.🛌초등학교 입학 전아이가 처음으로 학교🏫에 입학하기 시작하면서 많은 부모가 이 시기에 분리 수면을 시작하기도 해요. 이 시기에는 아이의 호기심과 독립성이 점점 생기면서 무엇이든 혼자 스스로 해내고 싶어해요. 그래서 이때 분리 수면 하기에도, 아이가 적응하기에도 훨씬 수월할 수 있어요.🛌사춘기사춘기에 아이는 부모보다 친구가 더 좋을 때라서 분리 수면 하기에 마지막 시도가 되기도 해요. 초등학교 4학년쯤이 사춘기 진입을 앞둔 시기라 2차 성징이 오면서 몸이 예민해지고 성적 자극에 조금씩 민감해질 때에요. 그래서 부모와 분리 수면 하는 것이 더 좋아요.👍<hr>How? 분리 수면의 방법!✅시간적 여유를 가지기급하게 바로 분리 수면을 한다면 아이도 분리 불안이 더 커지게 마련이죠. 아이가 부모와 함께 자더라도 아이👶는 바닥에서, 부모는 침대에서 자는 등 방 안에서 자는 위치만이라도 분리를 시도해보세요. 서서히 변화를 주면서 분리 수면을 준비하면 돼요.&nbsp;✅아이만의 독립된 공간을 마련해주기아이가 자신의 공간에서 많은 시간을 보내면 안정감을 느끼며 빨리 적응할 수 있어요. 또한 그 공간에서 바로 혼자 아이를 재우기보다는 잠들기 전에 부모가 그림책을 읽어주면 아이는 편안한 꿈 속으로 갈 수 있겠죠?✅애착 물건을 만들어주기아이가 좋아하는 인형이나 장난감🧸을 옆에 두고 자면 아이는 좀 더 안정감을 느끼며 잘 거예요. 부모는 항상 아이에게 혼자 자는 것이 아닌, 이 애착 물건이 아이의 잠자리를 지켜줄 친구라는 인식을 심어주세요.<a href="https://billy-13762.babybilly.app"></a>

우리 아이의 첫 독립, 분리 수면의 시기와 방법!

&nbsp; &nbsp; &nbsp;เราต่างทราบกันดีว่าพัฒนาการด้านหนึ่งที่สำคัญของเจ้าตัวน้อย👶ก็คือพัฒนาการทางด้านร่างกายใช่ไหมคะ ดังนั้นการปล่อยให้เขาได้มีกิจกรรมกลางแจ้ง ได้มีการวิ่งเล่นออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กๆ แต่แน่นอนว่าความสามารถในการเคลื่อนไหวและความแข็งแรง💪ของกล้ามเนื้อในเด็กเล็กอาจไม่ได้สูงมากนัก สิ่งที่จะเกิดตามมาก็คืออุบัติเหตุจากการวิ่งเล่นนั่นเอง หนึ่งในอุบัติเหตุที่สามารถเกิดได้ง่ายและบ่อยที่สุดสำหรับเด็กก็คือการหกล้ม ถึงแม้จะดูเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่เราในฐานะผู้ดูแลเจ้าตัวน้อยจะต้องรับมืออย่างไร มีประเด็นอะไรที่น่ากังวลบ้างหลังเกิดการหกล้มขึ้น บทความของเราจะพาคุณผู้อ่านมาดูกันค่ะ💁&zwj;♀️<hr>วิธีรับมือกับแผลที่ไม่ฉีกขาด<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4617/50dc9d78-5fd9-46ad-a11a-8b172d2ee0c0.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">💥บาดแผลฟกช้ำ&nbsp;เป็นบาดแผลรูปแบบที่ไม่มีรอยถลอกหรือการแยกออกจากกันของชั้นผิวหนังด้านบนที่เราสามารถมองเห็น👀ได้ แต่มีความเสียหายของกล้ามเนื้อข้างใน และหลอดเลือดฝอยใต้ชั้นผิวหนังเกิดขึ้นค่ะ เมื่อหลอดเลือดเหล่านั้นเสียหาย เลือด🩸จึงออกมาคั่งอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เราสังเกตเห็นเป็นรอยฟกช้ำซึ่งก็คือรอยของเลือดนั่นเองค่ะ สำหรับวิธีการรับมือเมื่อเจ้าตัวน้อยเกิดแผลฟกช้ำ ให้ผู้ปกครองตั้งสติแล้วรีบหาน้ำแข็ง🧊มาประคบบริเวณที่เกิดรอยค่ะ หรือหากยังไม่สามารถสังเกตเห็นรอยช้ำให้ประคบบริเวณที่คาดว่าร่างกายจะเกิดความเสียหายจากการล้มค่ะ ควรประคบด้วยน้ำแข็งต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างต่ำ 24 ชั่วโมงซึ่งจะทำให้เลือดที่คั่งนั้นแข็งตัว เมื่อครบเวลาแล้วค่อยประคบด้วยน้ำอุ่นๆเพื่อละลายลิ่มเลือดเหล่านั้นค่ะ💥แผลบวมแดงจากอาการเคล็ดขัดยอก&nbsp;ยกตัวอย่างเช่นการเล่นกีฬาแล้วข้อเท้า🦶พลิก ผู้ปกครองสามารถแก้ปัญหาในรูปแบบเดียวกันกับแผลฟกช้ำได้เลย นั่นก็คือการประคบเย็น🧊ก่อนอย่างต่ำ 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงประคบร้อน (ประคบด้วยน้ำอุ่นๆ) ตามมาภายหลังค่ะ💥ผิวหนังไหม้จากการโดนแดดเป็นระยะเวลานานๆ&nbsp;สำหรับวิธีรักษาที่เหมาะสมนั้นควรไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์👩&zwj;⚕️ประเมินความรุนแรงของการไหม้ค่ะ หากมีตำแหน่งผิวหนังที่เกิดความเสียหายเช่นไหม้🔥จนลอก แพทย์อาจสั่งให้ทำแผลเพิ่มเติมค่ะ<hr>วิธีรับมือกับบาดแผลฉีกขาด<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4617/de4b6332-34ad-44ca-ae52-38f7a723dca2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨บาดแผลถลอก&nbsp;นับว่าเป็นรูปแบบที่พบเจอได้แน่นอนจากการหกล้มบนพื้นแข็งขรุขระเช่นคอนกรีต ถือว่าเป็นแผลตื้น ยังไม่ใช่แผลลึก ลักษณะของปากแผลจะมีเลือด🩸และน้ำเหลืองซึมออกมาเล็กน้อย เกิดความฉีกขาดของผิวหนังชั้นบน เนื่องจากว่าปากแผลอาจเปิดกว้าง จึงเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อการติดเชื้อก่อโรค🦠ในอากาศค่ะ วิธีรับมืออันดับแรกคือผู้ปกครองต้องประเมินก่อนว่าเด็กๆเลือดออกเยอะหรือไม่ ถ้าเยอะให้หาผ้าสะอาดมากดเบาๆปิดปากแผลไว้ก่อนจนกว่าเลือดจะออกน้อยลงหรือหยุดไหล จากนั้นให้พาเด็กไปล้างปากแผลด้วยการให้น้ำสะอาดไหลผ่าน จากนั้นจึงทำแผลด้วยการใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลหรือเบตาดีนเช็ดรอบๆปากแผล ห้าม🙅&zwj;♀️ราดหรือเช็ดบริเวณแผลโดยเด็ดขาดค่ะ✨แผลจากการถูกของมีดคมบาด&nbsp;มักเป็นแผลที่พื้นที่ปากแผลไม่ใหญ่ แต่ค่อนข้างลึก วิธีการรับมือจึงเน้นไปที่การป้องกันการติดเชื้อก่อโรค🦠เช่นกันค่ะ หากผู้ปกครอบประเมินว่าเด็กยังเลือดไม่หยุดไหล ให้ใช้ผ้าสะอาดกดเบาๆบริเวณแผลไว้ก่อนเพื่อห้ามเลือด🩸 เมื่อเลือดหยุดไหลแล้วจึงพาเด็กไปล้างเแผลด้วยการใช้น้ำสะอาดไหลผ่าน สามารถใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลหรือเบตาดีนทารอบๆแผลได้ แต่ห้ามเทราดเช่นเดียวกันค่ะ✨แผลจากการถูกสัตว์ทำร้าย&nbsp;ยกตัวอย่างเช่นแผลสุนัขกัด🦮 แมวข่วน🐈 เป็นแผลประเภทที่เราไม่สามารถประเมินได้เองว่าถือเป็นแผลลึกหรือไม่ อันดับแรกให้ผู้ปกครองห้ามเลือดด้วยการใช้ผ้าสะอาดกดปากแผลให้เลือดหยุดไหลก่อน จากนั้นจึงใช้น้ำสะอาดไหลผ่านแล้วควรไปทำแผลที่โรงพยาบาล🏥ค่ะ แพทย์จะทำการประเมินว่าต้องมีการเย็บแผลหรือไม่ และอาจต้องมีการฉีดวัคซีน💉พิษสุนัขบ้าและบาดทะยักควบคู่ค่ะ✨ความเสียหายของฟัน&nbsp;ในกรณีที่เด็กลื่นล้มแล้วฟัน🦷กระแทก อาจทำให้ฟันแตก ฟันโยก ให้ผู้ปกครองเก็บชิ้นส่วนของฟันไว้ในภาชนะที่สะอาด อย่าพึ่งน้ำไปสัมผัสกับอะไรก็ตามรวมถึงน้ำโดยตรง แล้วรีบพาเจ้าตัวน้อยไปพบทันตแพทย์ค่ะ<hr>วิธีป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในเจ้าตัวน้อยเบื้องต้น<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4617/392eb036-c69c-440c-a0b0-2f9eadaf37df.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">👉จับตามองอย่างใกล้ชิด&nbsp;แม้จะให้โอกาสเด็กๆได้มีกิจกรรมกลางแจ้งแต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยเขาจนเกินไป ห้ามทิ้งลูกให้เล่นตามลำพัง👨&zwj;👦ค่ะ👉เลือกพื้นที่ที่ให้เด็กทำกิจกรรมให้เหมาะสม&nbsp;ไม่เป็นพื้นที่ขรุขระ มีหลุมบ่อ🕳️ หรือเป็นพื้นที่สูง มีความต่างระดับในตนเองค่อนข้างมากค่ะ👉ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่รัดกุมและเหมาะสมกับกิจกรรม&nbsp;ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นการหัดขี่จักรยานสองล้อ🚴&zwj;♀️ ก็ควรให้ลูกสมกางเกงขายาวเพื่อลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุจักรยานล้มค่ะ&nbsp; &nbsp; ถึงแม้อุบัติเหตุจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่มีใครคาดคิดแม้ผู้ปกครองจะทำการป้องกันและใส่ใจเจ้าตัวน้อยอย่างดีแล้วก็ตาม แต่วิธีการรับมือนั้นก็ไม่ได้ยากเกินไปใช่ไหมคะ สิ่งสำคัญเลยคือผู้ช่วยเหลือต้องมีสติ💭และรู้จักประเมินสถานการณ์ค่ะ หากรู้สึกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อยนั้นมีความรุนแรงเกินจะรับมือไหวให้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น🩹เท่าที่จะทำได้ แล้วรีบพบแพทย์👩&zwj;⚕️ทันทีค่ะ

เด็กหกล้มเลือดออก รับมืออย่างไร

Ibu mungkin pernah mendengar para orang zaman dahulu mengatakan bahwa bayi perlu dijemur☀️ tiap pagi, namun benarkah hal ini? Bagaimana cara menjemur bayi yang aman?<hr>Manfaat menjemur bayi di bawah sinar matahari pagi<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2413/30d05da3-dc1f-4ff2-9ce3-8d7c34f196a6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">👶Menghangatkan tubuh bayiMenjemur bayi di bawah sinar matahari pagi dapat menghangatkan tubuhnya. Bayi juga bisa tidur🛏️ lebih nyenyak karena paparan dari sinar matahari yang menstimulasi produksi dari hormon serotonin.✨Merangsang tubuh bayi untuk memproduksi vitamin DMenjemur bayi dapat merangsang tubuhnya untuk memproduksi vitamin D. Vitamin D berguna bagi pertumbuhan tulang🦴 dan kesehatannya. Selain itu, menjemurnya di bawah sinar matahari pagi dapat membantu mengencerkan lendir di saluran napas ketika bayi pilek batuk.<hr>Bagaimana cara menjemur bayi baru lahir yang aman?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2413/7be38a7e-ab69-46b2-bab9-f105e5d0157f.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">👚Hindari menjemur bayi langsung tanpa pakaianKulit bayi yang baru lahir sangatlah sensitif, karena itu jangan menjemurnya secara langsung tanpa memakai pakaian. Selain itu, kenakan pelindung kepala seperti topi👒 saat bayi sedang berjemur.⏲️Durasi dan waktu menjemur yang tepatDurasi menjemur bayi bergantung pada warna kulitnya. Untuk bayi berkulit sedang atau lebih gelap direkomendasikan untuk berjemur 3 hingga 5 jam per minggunya. Sedangkan untuk bayi berkulit putih 30 menit per minggu. Karena itu, bayi baru lahir tidak perlu😉 dijemur tiap hari.Waktu yang tepat untuk menjemur bayi di pagi hari adalah sebelum pukul 10 pagi. Jika Anda tidak sempat menjemurnya saat pagi hari, Anda bisa menjemurnya di sore hari🍃 sesudah pukul 4 sore. Pada jam-jam tersebut kadar sinar UV matahari lebih rendah yang menurunkan risiko bayi mengalami kerusakan kulit.<hr>Bagaimana jika Anda terlalu lama menjemur bayi?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2413/dc16c19b-f104-4274-b106-8910a7d6d077.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">🌊Menempelkan kain basahAnda dapat menempelkan kain basah kurang lebih selama 10 hingga 15 menit pada kulit bayi yang terbakar. Tetapi, jangan menempelkan es🧊 secara langsung pada kulit bayi, karena kulit bayi akan terasa perih.🍼Cegah dehidrasi dengan menyusuinyaAnda dapat mencegah bayi mengalami dehidrasi dengan menyusuinya. Namun apabila bayi terlihat kesakitan dan demam, segera bawa bayi ke dokter👩&zwj;⚕️ untuk mendapatkan obat.

Haruskah menjemur bayi baru lahir tiap pagi?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ในสัปดาห์ที่ 23 นี้ลูกน้อยกำลังเตรียมพร้อมที่จะลืมตาดูโลกภายนอกโดยการรับฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในสัปดาห์เป็นเวลาที่เหมาะสมในการโทรหาบริษัทที่คุณแม่ทำประกันสุขภาพอยู่ เพื่อดูว่าตอนนี้มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่คุณแม่ไม่ต้องออกเอง และจะได้ตัดสินใจว่าจะต้องปรับอะไรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลูกที่กำลังจะเกิดมา จะมีอาการอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ทางเราได้หาคำตอบมาให้คุณแม่ทราบแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>ทารกในครรภ์อายุ 23 สัปดาห์มีขนาดตัวเท่าอะไร?🍊ทารกมีขนาดตัวเท่าผลเกรปฟรุตโดยเฉลี่ยลูกจะมีความยาว 11.4 นิ้วจากหัวถึงเท้า และมีน้ำหนัก 1.1 ปอนด์ ใช่แล้วค่ะขนาดตัวของลูกเกือบถึง 1 ฟุตแล้ว น้ำหนักก็แตะหนึ่งปอนด์แล้วเช่นกัน และลูกจะมีลักษณะเหมือนเด็กทารกมากขึ้นทุกวันด้วย<hr>อาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 23 สัปดาห์&nbsp;ถึงเวลาที่คุณแม่จะโบกมือลาอาการคลื่นไส้และอ่อนเพลียในช่วงไตรมาสแรกไปแล้ว แต่ก็ยังต้องรับมือกับความไม่สุขสบายต่าง ๆ&nbsp;และรวมไปถึงอาการอื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้- เท้าและข้อเท้าบวม🦶 อาการบวมน้ำส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องปกติค่ะ จัดการได้โดยการยกเท้าสูงให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ สามารถเดินเล่นได้ตามปกติ และดื่มน้ำเยอะ ๆ แต่ต้องแจ้งคุณหมอนะคะถ้าคุณแม่มีอาการบวมแบบเฉียบพลัน นั่นอาจเป็นสัญญาณของอาการอันตรายที่เรียกว่าภาวะครรภ์เป็นพิษได้ค่ะ- การเจ็บท้องหลอก มันคงเป็นความรู้สึกที่แปลกสุด ๆ เลยใช่ไหมคะในครั้งแรกที่คุณแม่รู้สึกได้ว่าท้องของตัวเองบีบตัวอย่างแรง! กล้ามเนื้อของคุณแม่กำลังเกร็งค่ะ โดยทั่วไปแล้วก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบีบตัวอย่างรุนแรงในระหว่างคลอด ตราบใดที่อาการหายไปอย่างรวดเร็ว ก็แปลว่าเป็นเพียงอาการหนึ่งของการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรดื่มน้ำ💧ให้เพียงพอและเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ เพื่อให้รู้สึกสบายตัวขึ้นนะคะ- ปวดหลัง ในระหว่างที่ลูกในท้องเติบโตและเริ่มทำให้กระดูกสันหลังคุณแม่โค้งงอ รวมถึงกดทับกล้ามเนื้อหลังของคุณแม่ด้วย อาการปวดหลังเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงที่ตั้งท้องแฝดได้ 23 สัปดาห์🤰 อาการปวดหลังนี้อาจทำให้รู้สึกกังวลได้ สามารถแจ้งคุณหมอได้เลยนะคะถ้ารู้สึกปวดมากจริงๆ- เหงือกบวมและ/หรือมีเลือดออก คุณแม่ไม่ทันคิดใช่ไหมคะว่าการตั้งครรภ์จะส่งผลกับสุขภาพช่องปากด้วย ฮอร์โมนตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดนั้นทำให้เหงือกของคุณแม่มีโอกาสที่จะบวมและมีเลือดออกได้ ถ้าช่องปากของคุณแม่มีความเปราะบางกว่าปกติ ลองเปลี่ยนไปใช้แปรงสีฟันนุ่ม ๆ🪥 และใช้ไหมขัดฟันอย่างระมัดระวังนะคะ อย่าลืมไปพบทันตแพทย์ตามปกติทุก ๆ หกเดือนเป็นอย่างน้อย<hr>การอัลตร้าซาวน์ในช่วงตั้งครรภ์ 23 สัปดาห์👉ทารกมีพัฒนาการของศีรษะในสัปดาห์ที่ 23 นี้ ตอนนี้ลูกมีหัวนมเล็ก ๆ แล้วนะคะ และในช่วงนี้ลูกยังเพลิดเพลินไปกับการฟังเสียงของคุณแม่ รวมถึงเสียงหัวใจ🫀ของคุณแม่ที่กำลังเต้นด้วย และอาจได้ยินเสียงดังอื่น ๆ เช่น เสียงบีบแตรรถหรือเสียงหมาเห่า🐶ด้วยนะคะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปได้ว่าในช่วงสัปดาห์นี้ เมื่อลูกเคลื่อนไหว คุณแม่จะรู้สึกดีมากเลยค่ะ และยังเป็นความสบายใจที่ได้รู้ว่าลูกกระดุกกระดิกตัวอยู่ข้างใน ถ้าคุณแม่ลองตั้งใจจับสังเกตดู คุณแม่จะทราบว่ากิจวัตรของลูกในท้องวัย 23 สัปดาห์นั้นมีอะไรบ้าง ลูกจะแอคทีฟน้อยลงในตอนหลับ😴 จะยังชอบเตะท้องแม่อยู่หรือเปล่า&nbsp;

อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 23 สัปดาห์

เมื่อเข้าสู่วัยก่อนเรียน ซึ่งมีอายุ 3-5 ขวบ ลูกจะสามารถทรงตัวและควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดี ลูกจะสังเกตผู้อื่นและจะชอบเลียนแบบ แต่จะยังไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรควรไม่ควร รวมถึงมารยาทในการกินเช่นกัน โดยเราจะสามารถสอนลูกได้อย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>วิธีสอนลูกให้รู้จักมารยาทในการกิน<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2418/e1bedeec-bc4a-4017-934a-0ff805f4f529.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨สอนให้ลูกรู้จักการใช้อุปกรณ์ต่างๆ&nbsp;ให้สอนลูกลองใช้อุปกรณ์ต่างๆ🍽️ ในการทานข้าวว่าใช้ทำอะไรบ้าง เช่น ช้อนเอาไว้ ตักข้าว ตักซุป ส่วนส้อมใช้จิ้มอาหารที่เป็นชิ้นๆ ตะเกียบไว้คีบเส้น จานใช้ใส่อะไรที่เป็นของแห้ง และชามใช้ใส่อะไรที่เป็นน้ำ เป็นต้น โดยให้ลูกได้ลองใช้งานจริง และคอยดูอยู่ข้างๆ✨ทำอย่างไรเมื่อลูกเลือกกิน?เมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะเริ่มเลือกทานอาหารแต่ที่ตัวเองชอบ ดังนั้นเราควรสอนให้ลูกรู้จักกับอาหาร 5 หมู่🥗 โดยบอกให้ลูกรู้ว่าการทานให้ครบหมู่นั้นมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก ลองให้ลูกทานอาหารเมนูใหม่ๆ โดยอาจต้องชวนให้ทานหลายครั้งหน่อย ลูกจึงจะยอมกินค่ะ&nbsp;<hr>สอนสิ่งเหล่านี้<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2418/dbe84f4a-af31-4594-a9fd-e44d507b9118.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨สอนใช้ช้อนกลางสอนใช้ลูกใช้ช้อนกลางตัก🥄 อาหารที่ต้องร่วมทานกับคนอื่น โดยอธิบายให้ลูกฟังว่า ทำแบบนี้เพื่อสุขอนามัยที่ดีของทุกคน รวมถึงหากทำอาหารตกก็ไม่ควรนำขึ้นมาทานใหม่ เพราะอาหารที่ตกนั้นไม่สะอาด✨เก็บจานเมื่อทานเสร็จเมื่อทานเสร็จแล้วให้ลูกเก็บจาน🍽️ ของตัวเองไปไว้ในอ่างล่างจาน รวมถึงเมื่ออิ่มแล้วให้รวมช้อนส้อมไว้ให้เรียบร้อย และบางครั้งก็อาจให้เขาช่วยเก็บจานของผู้ใหญ่ด้วยการฝึกเล็กๆน้อยๆ จะทำให้ลูกรู้จักช่วยผู้อื่นและมีความรับผิดชอบ✨สอนพูดคำสุภาพสอนให้ลูกพูดคำสุภาพไพเราะ เช่น เวลารับอาหารจากผู้ใหญ่ก็จะต้องบอกว่าขอบคุณครับ/ค่ะ และไม่โหวกเหวกโวยวายบนโต๊ะอาหาร🙂<hr>มารยาทร่วมโต๊ะอื่นๆ&nbsp;<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2418/0c5ddbb2-adc5-447c-b002-2222f4eab472.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">🥄สอนให้ลูกล้างมือก่อนทานข้าวทุกครั้ง🥄ไม่ควรใช้มือ และให้ใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหาร🥄ไม่คายอาหารทิ้ง🥄ไม่วิ่งรอบโต๊ะอาหาร หรือ ปาของใส่กัน🥄ไม่นำของเล่นขึ้นมาบนโต๊ะอาหารควรทานให้เสร็จก่อนถึงกลับไปเล่น🥄กล่าวขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนั้นๆหากสอนลูกอย่างสม่ำเสมอรับรองว่าลูกจะต้องทำตามได้อย่างแน่นอนเลยค่ะ บิลลี่เป็นกำลังใจให้นะคะ!

สอนให้ลูกรู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารกันเถอะ!

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ในช่วงการตั้งครรภ์🤰เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับคุณพ่อมือใหม่ เพราะกำลังจะมีเจ้าตัวน้อยเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ถือว่าเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น มีอีกหลายสิ่งที่คุณพ่อมือใหม่ยังต้องเตรียมรับมือกับสภาพที่เปลี่ยนไปของภรรยา ทั้งด้านจิตใจ และร่างกาย ดังนั้นบทความนี้จึงได้รวบรวม 5 สิ่งที่คุณพ่อมือใหม่ต้องเผชิญในช่วงภรรยาตั้งครรภ์ จะมีอะไรบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>5 สิ่งที่คุณพ่อมือใหม่ต้องเผชิญในช่วงภรรยาตั้งครรภ์ &nbsp;มีดังต่อไปนี้<h3 dir="ltr">1.เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงตั้งครรภ์</h3>การตั้งครรภ์เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ร่างกายและอารมณ์ของภรรยาเปลี่ยนแปลงไป🤯 สามีควรเข้าใจและรับรู้ถึงสภาพที่เกิดขึ้น และเรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์ของภรรยาอย่างเข้าใจให้ได้มากที่สุด พยายามเข้าใจว่าภรรยาอาจจะมีอารมณ์ขึ้นลงบ้าง และเรียนรู้ที่จะให้อภัยกันเสมอนะคะ2.ภรรยาอยู่ในช่วงเห่อซื้อของให้ลูกปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณแม่มือใหม่ทุกคนนั้นล้วนจะมีความรู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกว่าอยากเตรียมความพร้อมของใช้และทุกๆสิ่งให้กับลูกของตัวเอง ถึงแม้แต่ยังไม่ทราบว่าตนเองได้ตั้งครรภ์ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย แต่คุณแม่ก็มีความกระตือรือร้นที่จะเตรียมหาของใช้ เสื้อผ้า ขวดนม🍼 หรือของแต่งตัวให้ลูกเอาไว้ก่อน ถึงบางทีอาจทำให้คุณพ่อรู้สึกเหนื่อยที่ต้องคอยตามใจและซัพพอร์ตต่างๆ แต่รู้ไว้เถอะค่ะว่าการกระทำเช่นนี้คือการที่คุณแม่เขารักลูกอย่างสุดหัวใจนั่นเอง🥰3.ภรรยาเข้ามามีบทบาทในการควบคุมการเงินมากขึ้นการมีสมาชิกใหม่เข้ามาภายในบ้าน แน่นอนว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆที่เพิ่มขึ้นอย่างสูง💰 ทำให้คุณแม่เจ้าระเบียบนั้นจะหันมาสนใจและมีบทบาทในการควบคุมการเงินภายในบ้านมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก แถมยังตามด้วยค่าเล่าเรียนศึกษา และค่าใช้จ่ายอื่นอีกมากมาย เพราะฉะนั้นการเตรียมแผนการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ครอบครัวมีเงินเก็บในระหว่างฉุกเฉิน🚨 ดังนั้นขอให้คุณพ่อเชื่อใจว่าคุณแม่ได้มีการเตรียมการและจัดแจงการเงินได้อย่างดี<hr>และรวมไปถึงสิ่งเหล่านี้อีกด้วย4.ความเครียดและแรงกดดันในช่วงตั้งครรภ์ในขณะตั้งครรภ์คุณแม่มักจะหนีไม่พ้นความกดดันและความเครียดต่าง ๆ นานา จนแสดงอารมณ์ชวนหงุดหงิด🤬 มีแต่รังสีพลังลบที่แผ่กระจายรอบตัวเธอเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นคุณพ่อต้องพยายามทำความเข้าใจถึงความกดต่างๆที่คุณแม่มีต่อตัวเองและมีต่อลูกในครรภ์ ควรคอยให้กำลังใจ🤗 และทำให้เธอสงบจิตสงบใจลง โดยไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดเสริมเข้าไปด้วย&nbsp;<h3 dir="ltr">5.ไม่สบายตัวและเจ็บป่วยได้ง่าย</h3>ในช่วงที่ภรรยาตั้งครรภ์ มีแนวโน้มที่จะเจ็บป่วยและไม่สบายได้ง่ายมาก😷 ดังนั้นคุณพ่อควรช่วยดูแลและหมั่นสังเกตอาการอยู่เสมอในแต่ละวัน อีกทั้งควรเรียนรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการดูแลลูกน้อยในช่วงเวลาดังกล่าวให้ดี เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้ทันหากเกิดการเจ็บป่วยแบบกระทันหันขึ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบกันแล้วใช่ไหมคะ ถึง 5 สิ่งที่คุณพ่อมือใหม่ต้องเผชิญในช่วงที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ คุณพ่อควรให้สำคัญกับการดูแลสุขภาพทางร่างกายของภรรยา เพื่อเป็นการเตรียมตัวและเรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว👨‍👩‍👧 เพราะในอนาคตคุณพ่อก็จะต้องดูแลลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลกในไม่ช้า เพื่อพร้อมรับมือสิ่งต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม จนสมกับได้รับฉายาคุณพ่อดีเด่นนั่นไงล่ะคะ🏆

5 สิ่งที่คุณพ่อมือใหม่ต้องเผชิญในช่วงภรรยาตั้งครรภ์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเข้าสู่อายุ 7 ขวบ ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่กำลังจะเข้าเรียน ป. 1 พอดี🤓 อาจมีความสงสัยว่าเด็กในวัยนี้ควรจะได้รับการส่งเสริมทางด้านพัฒนาการทางด้านอะไรบ้าง เพื่อที่ลูกจะได้เตรียมตัวเข้าสู่โรงเรียนและปฏิบัติตัวต่อสังคมได้อย่างเหมาะสม ทางเราได้รวบรวมคำตอบมาไว้ให้ในบทความนี้แล้วค่ะ💁&zwj;♀️&nbsp;<hr>เด็กวัย 7 ขวบ มีพัฒนาการที่มากขึ้นในด้านต่อไปนี้<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/c187db90-a758-4762-98d3-565d980e1d0a.webp" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">พัฒนาการทางด้านสติปัญญาเด็กวัย 7 ขวบ จะเริ่มเข้าเรียนชั้น ป. 1 ซึ่งลูกจะได้เริ่มเรียนวิชาพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์🧮 วิทยาศาสตร์🧪 ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ🔤 เช่น ภาษาอังกฤษเบื้องต้น ลูกจะเริ่มสามารถจดจำคำศัพท์และรูปภาพได้ สามารถเรียนรู้คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้คำคนละคำกัน รวมไปถึงสามารถเริ่มอ่านหนังสือออก และแต่งประโยคขั้นพื้นฐานอย่างสมบูรณ์ได้เช่นกันค่ะพัฒนาการทางด้านร่างกายเด็กช่วงอายุ 7 ปี จะมีการเจริญเติบโตของร่างกายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องส่วนสูง ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 6 เซนติเมตรต่อปี ส่วนน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณ &nbsp;1-3 กิโลกรัม รวมไปถึงลูกอาจจะประสบกับปัญหาอาการเจ็บกล้ามเนื้อต่างๆได้ เช่น อาการปวดขา🦵 ปวดแขน หรือปวดบริเวณหน้าท้องมากยิ่งขึ้น และในวัยนี้ฟันน้ำนมจะเริ่มหลุด และมีฟันแท้งอกขึ้นมา<hr>และรวมไปถึงพัฒนาการในด้านนี้อีกด้วย<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/2e81c03d-692f-45d8-860b-91e250cd4964.webp" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">พัฒนาการทางด้านอารมณ์เมื่อลูกได้เริ่มเรียนรู้การเข้าสังคม ทำให้ลูกได้พบเจอกับคุณครู👩&zwj;🏫 เพื่อน👧 และบุคคลภายนอกในสังคม ทำให้ลูกได้เรียนรู้การจัดการกับอารมณ์และความซับซ้อนของความรู้สึกมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรค่อยๆปลูกฝังจริยธรรมแก่ลูกด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ลูกจะเริ่มมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างมิตรภาพใหม่ๆกับเพื่อนและบุคคลแปลกหน้า รวมไปถึงยังได้เรียนรู้เรื่องเหตุและผล การยอมรับในตนเองและความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่นด้วยเช่นกัน&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบกันแล้วใช่ไหมคะถึงการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอายุ 7 ขวบ เด็กวัยนี้ดูเหมือนจะเป็นวัยที่เข้าถึงได้ยาก เพราะลูกเริ่มมีระบบความคิดที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น💭 แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าลูกกำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แถมยังต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสม เพราะตอนนี้ในโลกของลูกไม่ได้มีเพียงครอบครัวเท่านั้น แต่จะรวมไปถึง เพื่อนๆที่โรงเรียน คุณครู คุณป้าที่โรงอาหาร ภารโรง และบุคคลอื่นๆที่พวกลูกต้องพบเจอ คุณพ่อคุณแม่ควรให้เวลากับลูกได้ปรับตัว และต้องคอยอยู่เคียงข้างลูก🫂 เพื่อแก้ไขปัญหาไปด้วยกันนะคะ&nbsp;

พัฒนาการของเด็ก 7 ขวบ มีอะไรบ้าง?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คงเป็นที่น่าตกใจและน่ากังวลใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่👫อยู่ไม่น้อย หากพบว่าเมื่อคลอดเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าตัวน้อยของเรามีศีรษะที่บวมโนหรือไม่เป็นรูปเป็นร่าง🤕 ภาวะนี้เป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปกติหรือไม่ ในอนาคตจะกลับมาเป็นรูปร่างปกติหรือเปล่า หากศีรษะเป็นแบบนี้จะเป็นอันตรายไหม บทความนี้มีคำตอบให้คุณผู้อ่านค่ะ💁‍♀️<hr>อาการศีรษะบวมที่เป็นปกติหลังคลอดสิ่งที่เราต้องทราบเป็นอันดับแรก คือ ช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์🚼ของคุณแม่จนถึงช่วงอายุประมาณหนึ่งขวบครึ่ง กะโหลกศีรษะของทารกจะยังไม่ปิดสนิท นั่นหมายถึงศีรษะจะมีความอ่อนนุ่ม และเนื่องจากศีรษะเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่นๆในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ การบีบรัดจากช่องคลอดในระหว่างคลอดก็มีส่วนทำให้รูปร่างศีรษะของเจ้าตัวน้อย👶นั้นบิดเบี้ยวไปได้เล็กน้อยค่ะ และอาการจะค่อยๆหายไปเอง แต่กระดูกกะโหลกนั้นจะสามารถปิดเชื่อมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์เมื่อทารกมีอายุประมาณหนึ่งปีกับอีก 6 เดือนขึ้นไปค่ะจุดเปราะบางบนกะโหลกทารกแรกเกิดในช่วงก่อนหน้าเราได้พูดถึงการที่กระดูกกะโหลกของทารกยังไม่พัฒนามากพอที่จะปิดหรือผสานกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้ศีรษะของทารกนั้นมีความยืดหยุ่น คำถามคือแล้วบริเวณไหนบ้างที่จะมีความยืดหยุ่นเกิดขึ้น ซึ่งก็นับเป็นบริเวณที่คุณแม่ควรใส่ใจและดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นจุดที่ค่อนข้างบาง หากเกิดการกระทบกระเทือนก็มีโอกาสสูงที่จะส่งผลเสียต่อการพัฒนาสมอง🧠ของเด็กค่ะ จะมีตรงไหนบ้างเราไปดูกันเลยค่ะ👉กระดูกกะโหลกบริเวณกระหม่อมข้างหน้า 2 จุด👉กระดูกกะโหลกบริเวณกระหม่อมหลัง 1 จุด👉บริเวณด้านข้างของกระหม่อมค่อนไปทางด้านหลัง 2 จุด👉บริเวณกระหม่อมกกหู 2 จุด<hr>อาการศีรษะบวมที่ผิดปกติหลังคลอดเกิดได้จากหลายสาเหตุ💫ภาวะศีรษะบวมจากการที่ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด บริเวณศีรษะของเด็กจะถูกกดทับกับขอบมดลูกที่ยังไม่เปิดหรือเปิดไม่หมดของคุณแม่ ทำให้เลือด🩸ไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงหนังหุ้มศรีษะบริเวณนั้นได้สะดวกมากนัก เมื่อคลอดออกมาศีรษะทารกจึงมีลักษณะบวม โดยทั่วไปแล้วอาการนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา🙅‍♀️ เพราะจะสามารถหายไปได้เองในช่วงระยะเวลาประมาณ 2-3 วันค่ะ💫ภาวะเลือดออกบริเวณเยื่อหุ้มใต้กะโหลกศีรษะของทารก เลือดจะค่อยๆซึมออกและมาคั่งอยู่บริเวณชั้นใดชั้นหนึ่งของกะโหลกศีรษะ💀 หลังคลอดออกมาอาจพบว่าทารกตัวซีด🥶 แต่โดยทั่วไปแล้วภาวะนี้จะค่อยๆบรรเทาและหายเองภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือนค่ะ💫ภาวะเลือดคั่งใต้ช่องว่างเนื้อเยื่อพังผืดกะโหลกกับเยื่อหุ้มกะโหลก มีขอบเขตบริเวณเริ่มตั้งแต่เบ้าตา👁️ลามไปยังท้ายทอย และบริเวณด้านข้างหู👂ข้างหนึ่งลามไปถึงหูอีกข้าง ทำให้เกิดก้อนเนื้อที่มีลักษณะบวมโต นับเป็นภาวะที่อันตรายเพราะทำให้ทารกเกิดภาวะช็อค🫨ตามมาจากการเสียเลือดได้💫ภาวะเลือดออกในเนื้อสมอง🩸🧠 เกิดจากการที่หลอดเลือดภายในเนื้อสมองเองเกิดการแตก จนทำให้มีอาการผิดปกติของสมองบริเวณนั้นเกิดขึ้นตามมา&nbsp; &nbsp; &nbsp;อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงทราบกันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ ว่าอาการหัวเบี้ยวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเป็นปกติ แต่ก็มีบางรูปแบบที่ไม่ปกติเช่นเดียวกัน หากคุณผู้อ่านสังเกตว่าเจ้าตัวน้อย👶มีลักษณะรูปร่างของศีรษะที่เบี้ยวหรือผิดปกตินานกว่า 3 เดือนแล้วยังไม่หาย หรือยังไม่มีทีท่าจะกลับมาปกติ แนะนำว่าคุณผู้อ่านควรรีบพาเจ้าตัวน้อยเข้ารับการตรวจร่างกายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👨‍⚕️ทันทีค่ะ เพราะอาจเป็นอาการศีรษะเบี้ยวที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือช่วงคลอด แพทย์อาจต้องใช้การรักษาเพิ่มเติมเพราะเด็กไม่สามารถหายจากภาวะเหล่านี้เองได้ค่ะ

ศีรษะทารกแรกเกิดบวมโน อันตรายไหม? 

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่ตั้งครรภ์คงต้องเจอกับอาการแพ้ท้อง น้ำลายเปรี้ยว น้ำลายไหลมากผิดปกติ น้ำลายเต็มปาก จนต้องบ้วนทิ้งบ่อยๆ อยู่บ้างใช่ไหมคะ? วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะน้ำลายไหลมากมากผิดปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์มาให้คุณทราบไปพร้อมๆกันแล้วนะคะ💁‍♀️<hr>ภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติ คืออะไร?💦ภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติ (Hypersalivation)ภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติเกิดจากร่างกายผลิตน้ำลายออกมามากเกินไป ซึ่งเรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่คุณแม่ตั้งครรภ์🤰จะมีโอกาสเกิดภาวะนี้มากกว่าคนทั่วไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่รุนแรงในระหว่างตั้งครรภ์ เรียกอีกอย่างว่า “Ptyalism gravidarum” &nbsp;คือ การผลิตน้ำลายออกมามากกว่าปกติในช่วงการตั้งครรภ์<hr>สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติ✨1.อาการ คลื่นไส้และอาเจียน&nbsp;เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีความอยากอาหารลดลง แม่บางคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารหรือดื่มน้ำ &nbsp;ประกอบกับกรดในกระเพาะอาหารที่ออกมาพร้อมกับการอาเจียน ซึ่งเหล่านี้กลายมาเป็นสาเหตุของการเกิดกรดสะสมอยู่ในช่องปาก จึงทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ✨2.ปัญหาฟันผุ&nbsp;เนื่องจากฟันที่ผุ🦷จะทำให้สภาพปากเป็นกรด จึงทำให้มีการผลิตน้ำลายมากขึ้นนั่นเอง✨3.เชื้อราและแผลอักเสบในช่องปาก&nbsp;การติดเชื้อในช่องปาก👄 ฝี หนองตามเนื้อเยื่อช่องปากและลำคอ รวมถึงทอนซิลอักเสบ หากเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น ค่าความเป็นกรด-ด่างในช่องปากย่อมไม่ปกติ และภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติก็จะตามมาอย่างแน่นอน✨4.โรคกรดไหลย้อนในระหว่างการตั้งครรภ์&nbsp;การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารอ่อนแรงลง จึงมีความเสี่ยงสูงที่กรดจากกระเพาะอาหารจะไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดอาการแสบร้อนที่ลิ้นปี่หรือกลางหน้าอกแล้ว อาการของโรคกรดไหลย้อนยังทำให้เกิดกรดสะสมในช่องปาก ซึ่งทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติตามมาด้วย✨5.การสัมผัสกับสารพิษ&nbsp;โดยทั่วไปแล้วสารพิษจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ👃 &nbsp;เช่น สารปรอท สารหนู ออร์แกโนฟอสเฟต ควันพิษ หรือ สารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะเข้ามาขัดขวางประสิทธิภาพในการทำงานของอวัยวะต่างๆในช่องปาก และทำให้เกิดการผลิตน้ำลายเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว<hr>4 วิธีป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์&nbsp;👉1. หมั่นแปรงฟันและใช้น้ำยาบ้วนปากสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ได้แนะนำให้แม่ตั้งครรภ์ดูแลสุขภาพเหงือกและฟันโดยการแปรงฟัน🪥และบ้วนปากอย่างถูกวิธี เพราะสุขภาพในช่องปากของแม่มีผลกระทบโดยตรงต่อลูกน้อยในครรภ์ โดยมีการศึกษาพบว่าปัญหาสุขภาพช่องปากบางชนิดส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ เช่น โรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ นอกจากนี้ การปล่อยให้มีแบคทีเรียในช่องปากจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดภาวะฟันผุในทารกได้ เป็นต้นอย่างไรก็ตาม การแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน อาจยังไม่เพียงพอต่อการทำความสะอาดช่องปากของแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจยังมีแบคทีเรีย🦠หลงเหลืออยู่ตามบริเวณที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึง เช่น ขอบเหงือก กระพุ้งแก้ม ลิ้น ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหารจุบจิบ และ อาการคลื่นไส้อาเจียนบ่อยๆ ของแม่ &nbsp;ซึ่งการใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อกำจัดเศษอาหารและลดปริมาณน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่ตกค้างในปากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดแบคทีเรียและป้องกันฟันผุได้มากขึ้น👉 2. หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดเนื่องจากอาหารรสจัดหรืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมากๆ จะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลายในปากให้ผลิตน้ำลายออกมามากขึ้น และนอกจากนั้น อาหารประเภทของหวานและขนมจำพวกแป้ง น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน🧃 รวมถึงหมากฝรั่งที่มีน้ำตาลสูง จะส่งผลให้เกิดกรดในช่องปาก และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพฟัน &nbsp;รวมไปถึงผลไม้เปรี้ยวยังเต็มไปด้วยกรดอินทรีย์ (organic acid) เช่น กรดซิตริก (citric acid) กรดมาลิก (malic acid) และ กรดทาร์ทาริก (tartaric acid) ซึ่งหากคุณแม่ท้องรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวขณะท้องว่าง อาจมีอาการไม่สบายท้อง คลื่นไส้ หรืออยากอาเจียนมากขึ้นได้ด้วยนะคะ👉3. เพิ่มการดื่มน้ำเปล่าแม่ตั้งครรภ์ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน ซึ่งปริมาณน้ำเปล่าที่คนท้องควรได้รับ คือประมาณ 1.5 ลิตร หรือ 7- 8 แก้วต่อวัน💧 การดื่มน้ำที่มากเพียงพอจะทำให้ภายในช่องปากของแม่มีค่าความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสม ซึ่งอย่างน้อยจะช่วยควบคุมการผลิตน้ำลายส่วนเกินได้บ้าง ส่วนคุณแม่คนใดที่มีอาการแพ้ท้องหนักหรือรุนแรงจนดื่มน้ำได้ยาก ลองเปลี่ยนจากการดื่มน้ำครั้งละมากๆ เป็นการจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวันแทน หรือสลับกับการดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำขิง🫚 น้ำตะไคร้ ก็จะสามารถช่วยลดอาการพะอืดพะอมและรู้สึกสดชื่นมากขึ้นได้ค่ะ👉4. พกกระดาษชำระติดตัวเสมอแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติจะรู้สึกอยากบ้วนน้ำลายทิ้งบ่อยครั้ง ดังนั้น คุณแม่ควรพกกระดาษชำระติดตัวไว้🧻 เมื่อมีน้ำลายสะสมในปากมากๆ ก็สามารถบ้วนทิ้งได้ทันที ไม่ควรฝืนกลืนหรือเก็บน้ำลายไว้ เพราะจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้มากขึ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;เห็นแล้วใช่ไหมคะว่าวิธีป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำลายไหลมากผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์🤰นั้นสามารถปฏิบัติตามได้ไม่ยากเลย เพราะวิธีเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีธรรมชาติที่ทำได้ง่ายๆ ดังนั้นคุณแม่อย่าลืมดูแลตัวเองและหมั่นคอยสังเกตอาการที่เกิดขึ้นอยู่เสมอด้วยนะคะ

ภาวะน้ำลายไหลมากมากผิดปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่หลายท่านคงจะเจอกับปัญหากลิ่นตัวที่มาพร้อมๆกับการตั้งครรภ์ ซึ่งในวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าทำไมท้องแล้วจึงมีกลิ่นตัว และจะมีวิธีระงับกลิ่นตัวของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>สาเหตุที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีกลิ่นตัวกลิ่นตัวของคุณแม่นั้นเกิดจากการที่ต่อมเหงื่อ💦ที่เรียกว่าอะโพครายน์ หลั่งของเหลวที่มีลักษณะเหมือนสีน้ำนมออกมาในปริมาณน้อย ซึ่งเราจะมองไม่ค่อยเห็น โดยเมื่อน้ำนมเหล่านี้ถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียก็จะทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้นั่นเองค่ะซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมาเป็นปริมาณมากที่เราจะเห็นเป็นรอยเปียกเสื้อใต้วงแขนนั้น👚 จะเป็นการที่ต่อมเหงื่อครายน์หลั่งออกมานั่นเอง โดยในตอนแรกนั้นจะไม่มีกลิ่น และเมื่อเวลาผ่านไป มีการเติบโตของแบคทีเรีย🦠ขึ้นก็จะทำให้มีกลิ่นตัวขึ้นมาค่ะ รวมถึงฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปในร่างกายของคุณแม่ก็มีส่วนทำให้กลิ่นตัวของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่แรงขึ้น แถมยังส่งผลให้รักแร้ดำขึ้นด้วย<hr>สาเหตุที่ตั้งครรภ์แล้วรักแร้ดำฮอร์โมนคือตัวการฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์คือ ฮอร์โมนเอสโตเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน📈 ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ก็เป็นตัวการที่ทำให้คุณแม่มีรอยดำเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรักแร้ ศอก เข่า ขาหนีบ นอกจากนั้นยังมีกลิ่นและอาการคันร่วมด้วยการโกนขนรักแร้การโกนขนรักแร้บ่อยๆ จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเมนาโนไซด์เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้รักแร้ดำขึ้น💦 &nbsp;วิธีแก้คือคุณแม่สามารถใช้ครีมโกนหนวดเพื่อลดการระคายเคืองระหว่างโกนขนได้นั่นเองค่ะการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอีกสาเหตุที่คุณแม่มีรอยดำใต้รักแร้เข้มนั้นอาจมาจากยีนที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม🧬 ซึ่งคนในครอบครัวก็จะพบรักแร้ดำเช่นกัน<hr>วิธีรับมือกลิ่นตัวของคุณแม่สำหรับคุณแม่ที่กำลังกังวลใจกับเรื่องกลิ่นตัวแล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งเครียดไปนะคะ เพราะทางเรามีวิธีมารับมือมาฝากกันแล้วค่ะ&nbsp;ใช้โรลออนระงับกลิ่นกายคุณแม่สามารถหาซื้อโรลออนหรือสเปรย์ระงับกลิ่นกายมาใช้เพื่อลดปัญหากลิ่นเต่าได้ แต่ก็ควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่คุณแม่ไม่แพ้ด้วยนะคะ&nbsp;ทานกินผักผลไม้ทราบหรือไม่คะว่าการทานผักผลไม้🍈นั้นนอกจากจะช่วยลดอาการท้องผูกแล้วยังช่วยลดกลิ่นเต่าของคุณแม่ได้ด้วย เพราะการที่คุณแม่ขับถ่ายเป็นปกติมีส่วนช่วยในการลดกลิ่นตัวของคุณแม่ได้นั่นเองงดทานอาหารเครื่องเทศเมื่อเราทานเครื่องเทศหรืออาหารที่มีกลิ่นแรงๆ ร่างกายของเราก็จะขับของเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของกลิ่น🦨ได้นั่นเองค่ะ&nbsp;อาบน้ำให้สะอาดยิ่งในอากาศเมืองร้อนอย่างประเทศไทยนั้น การอาบน้ำ🚿เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดกลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวของเราได้ โดยควรอาบน้ำเช้าเย็น และไม่ควรปล่อยให้เหงื่อของเราหมักหมม เวลาอาบให้เน้นบริเวณข้อพับต่างๆ เพราะเหล่านั้นมักเป็นที่สะสมของแบคทีเรียนั่นเองค่ะ&nbsp;

ทำไมตั้งครรภ์แล้วกลิ่นตัวแรง!!?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่ท้องทุกท่านต้องใส่ใจกับการเลือกทานอาหารที่ดี 🍲มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และคุณแม่ก็คงเคยได้ยินเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการกินอาหารของคนท้อง บทความนี้ได้รวบรวมเกี่ยวกับ ความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับทานอาหารที่จะส่งผลต่อทารกภายในครรภ์ มีอะไรที่จริงบ้างและไม่จริงบ้าง เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆกันค่ะ💁‍♀️<hr>ความเชื่อของอาหารที่ส่งผลต่อทารกในครรภ์🥛คุณแม่กินนมสดเยอะๆ = ลูกจะมีผิวขาว&nbsp;นมสดนั้นอุดมไปด้วยประโยชน์นานาชนิด เช่น แคลเซียมวิตามิน และเกลือแร่ ถึงแม้ว่านมสดมีจะมีลักษณะสีขาว แต่การดื่มนมสดไม่ได้ส่งผลต่อสีผิวของลูก ไม่สามารถทำให้ลูกน้อยภายในครรภ์มีผิวที่ขาวขึ้นได้ เพราะสีผิวเป็นผลมาจากลักษณะทางพันธุกรรม🧬ของคุณพ่อและคุณแม่ค่ะ🥥คุณแม่กินน้ำมะพร้าว = ลูกจะมีผิวสวยมีความเชื่อว่าหากคุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้ลูกคลอดออกมามีผิวสวย เนียนละเอียด ไม่มีไขเกาะตามผิวหนัง ความเชื่อนี้ถือเป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ🙅‍♀️ เพราะลักษณะผิวของทารกนั้นขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่ได้รับมาจากพ่อแม่ และการที่คุณแม่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็สามารถทำให้ทารกมีผิวพรรณที่ดีได้เหมือนกันค่ะ🌶️คุณแม่กินอาหารเผ็ด = ลูกจะมีผมบางการทานอาหารรสเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นรสเผ็ด รสเปรี้ยว รสเค็ม หรือรสหวาน ล้วนไม่ส่งผลต่อการที่ทำให้ทารกคลอดออกมาแล้วมีลักษณะผมบาง👶ทั้งสิ้น สาเหตุของการที่ทารกมีผมบางนั้นเกิดมาจากลักษณะพันธุกรรมที่ได้รับจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ🍫คุณแม่กินช็อกโกแลต = ลูกจะอารมณ์ดีถึงแม้ว่าคุณแม่ที่ทานช็อกโกแลตจะมีอารมณ์ดี จึงทำให้เกิดความเชื่อผิดๆว่าถ้าแม่ท้องกินช็อกโกแลตเยอะๆก็จะทำให้ลูกในครรภ์อารมณ์ดีด้วย🥰 ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ เพราะถ้าหากคุณแม่กินช็อกโกแลตมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และโรคอ้วนได้ด้วย😋คุณแม่กินเยอะๆเข้าไว้ = ลูกจะมีตัวโตด้วยคุณแม่ทุกท่านคงรู้ดีว่าสารอาหารที่คุณแม่ได้รับนั้นจะส่งตรงไปถึงทารกผ่านทางสายสะดือ จึงมีความเชื่อผิดว่าถ้ากินเยอะลูกก็จะได้รับสารอาหารเยอะด้วยเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงนั้น ในช่วงท้อง🤰แต่ละไตรมาสจะมีเกณฑ์กำหนดชัดเจนว่าคุณแม่ควรทานอาหารในปริมาณเท่าไร เพราะถ้าหากคุณแม่ทานอาหารตามใจปาก และมีน้ำหนักที่มากขึ้น อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีต่อร่างกายคุณแม่และลูกค่ะ🍌คุณแม่กินกล้วยน้ำว้า = คลอดลูกยากกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงและยังมีประโยชน์ทางโภชนาการอีกด้วย ในสมัยโบราณนั้นมีความเชื่อว่าหากแม่ท้องกินกล้วยน้ำว้าจะทำให้ทารกตัวโต จึงทำให้ทารกคลอดออกมายาก🚼 เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องไม่จริง เพราะมีหลายๆปัจจัยที่ส่งผลว่าทารกนั้นจะคลอดออกมาง่ายหรือ ไม่ใช่เพียงเพราะการกินกล้วยน้ำว้าค่ะ🍣Omega 3 ได้มาจากปลาแซลมอนเท่านั้นอย่างที่คุณแม่ทุกท่านคงทราบว่าปลาแซลมอนนั้นอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่ดีต่อทารกใน ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ถูกต้องค่ะ แต่ในอีกส่วนหนึ่งนั้นสารอาหารจากโอเมก้า 3 ก็สามารถหาได้จากอาหารประเภทอื่นๆ เช่น ปลาชนิดอื่นที่มีราคาถูกกว่า อย่างเช่นปลาดุก🐟 ปลาช่อน และปลาสวายเป็นต้น แต่ก่อนทานปลาแต่ละชนิดแนะนำให้คุณแม่ ควรศึกษาให้ดีก่อน เพราะปลาบางสายพันธุ์อาจจะมีปริมาณของสารปรอทที่อันตรายต่อคุณแม่ค่ะ<hr>ปัจจัยหลักที่กำหนดลักษณะของทารก🧬พันธุกรรม (Genetics)ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากรรมพันธุ์นั้นเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อลักษณะที่แสดงออกมาของทารก เช่น ความสูง สีผิว สีของดวงตา👁️ และลักษณะเส้นผม เป็นต้น พันธุกรรมเป็นตัวกำหนดปัจจัยเหล่านี้ ซึ่งแบ่งออกเป็นยีนเด่นและยีนด้อย ดังนั้นการทานอาหารต่างๆจึงไม่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ของทารกอย่างแน่นอนค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบอย่างนี้แล้วคุณแม่ก็สามารถทานอาหารต่างๆได้แน่นอนค่ะ อาหารที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ส่งผลต่อทารก คุณแม่ควรเน้นการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่🥦 และไม่ควรสรุปไปเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากทารกนั้นเกิดมาจากอาหารเสมอไป หากพบสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับทารก คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ👨‍⚕️เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมได้ค่ะ

ไขข้อข้องใจ 7 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับคนท้อง

오늘로 24주차 들어선 초산 산모인데 오늘 빗길에 내리막길에서 뒤로 쿵 미끄러졌거든요..(등으로 넘어짐)근데 괜히 걱정되는데 혹시 병원 가봐야 할까요?사실 저는 뭐 지금 다친곳은 없긴한데 꽤나 충격이 가했어서 너무 걱정되네요...ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ별일 없겠죠?

혹시 임신 중 넘어지시거나 미끄러져본 적 있으신 산모님 있으신가요?

에고 괜찮으세요 ㅜㅜ 걱정되면 병원 가보시는게 낫지 않을까 싳어요 ㅠㅠ

저 1월1일에 산으로 해보러갔다가 얼어있는 바닥이 안보여서 밟고 다리가 길게 미끄러지면서 엉덩이로 넘어졌어요. 엉덩이만 당일에 아프고 크게 아프지 않아서 안가다가 몇일후에 병원진료가 있어 갔는데 아기는 평소같이 건강하게 잘 놀구있었어요 ! 배만 아니면 괜찮지만 다음날까지 쭉 아프시면 병원 방문하세요!! ㅠㅠ 

저는 지금 22주차인데 15주차때 출근전에 아파트  7계단에서 미끄러졌는데 나이트 근무까지 하고나서 다음날 깁스하고 산부인과 갔었는데 다행히 평온하게 자고 있더라구요~걱정하지마세요~

저도 눈길에 미끄러져서 걱정되는 마음에 병원갔는데 배로 넘어진거아니면 괜찮다고 그러더라구요!ㅎㅎ 태동이 느껴지면 괜찮으실거에요

배쪽으로 넘어지거나 외상 없으면 괜찮지 않으까요~ 저도 초기에 눈길에 엉덩방아 찧었는데 눈인지 양수인지 모를 액체가 속옷에 흥건해서 병원 가봤는데 양수는 아니더라구요ㅎㅎ 

우리다치는것보다 넘어진충격으로 태반이 떨어질수있다고 조심하라고 그러더라고요 우리모두 조심해요🙂

저 20주차에 완전 날라가서 넘어졌는데 괜찮았어요 

거의 만삭에 욕실에서 슬라이딩해서 뒤로넘어진적있어요 와중에도 머리지키고 배 지켰는데
그때 배가 한 1분가량 뭉쳤었거든요 놀란탓인지
그러고 담진료에 의사샘한테물어봤는데
엉덩이쪽하고 등쪽하고 살도 많이붙었고하니
크게그런거없었음 괜찮다고하더라구요 ㅋㅋㅋ문제없이 잘 낳았어요
저도 그때 쌤말씀대로 넘어지는 그순간 엉덩이살이 나를 살리는구나 생각했었어요.....ㅋㅋㅋ살찐게다행이다싶었을만큼...;;

제가 읽고있는 육아서적에 임산부들이 중기넘어가면서 빈혈도있고 배때문에 균형 잘 안잡혀서 넘어지는 경우도 많다고 하는데
아기는 양수가 보호하고있어서 생각보다 잘 안다치니 걱정말라고 했어요ㅎㅎ 산모 몸이 괜찮으시면 큰 걱정 안하셔도 될 것 같아요^_^

병원에 한번 전화해보시길 추천드려요!!

การตั้งครรภ์จะแบ่งออกเป็น 3 ไตรมาสด้วยกัน ซึ่งจะมีระยะการตั้งครรภ์ทั้งหมด 9 เดือน โดยในไตรมาสแรกนั้นจะเป็นช่วงสามเดือนแรกนั่นเอง ในแต่ละไตรมาสนั้นก็จะมีความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ไม่เหมือนกัน เรามาดูกันว่าในไตรมาสแรกนั้นคุณแม่ต้องระวังอะไรกันบ้างนะคะ<hr>ภาวะที่ควรระวัง✨อาการแพ้ท้องคุณแม่ส่วนใหญ่จะมีอาการแพ้ท้องมากในช่วงของการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก ไม่ว่าจะเป็นการคลื่นไส้🤢 อาเจียน และอาจพบว่า รับประทานอาหารยาก แต่หากคุณแม่ละเลยการทานอาหารจะทำให้คุณแม่ขาดสารอาหารที่จำเป็นสำหรับทารกและตัวคุณแม่ อาจส่งผลให้ทารถไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ🙅‍♀️ และคุณแม่ก็อาจมีภาวะขาดสมดุลของวิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นหากพบว่ามีอาการแพ้ท้องหนักควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาดูนะคะ&nbsp;✨ภาวะเลือดออกทางช่องคลอด&nbsp;หากคุณแม่พบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด🩸และปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงควรไปพบคุณหมอทันที👩‍⚕️ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ แต่หากปวดไม่รุนแรงมากก็อาจเกิดจากที่กล้ามเนื้อมดลูกมีการขยายตัวเพื่อรองรับลูกน้อยของคุณนั่นเอง&nbsp;ทั้งนี้ภาวะเสี่ยงในไตรมาสแรกนั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณแม่แต่ละท่าน หากท่านมีโรคประจำตัวอย่าง โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็จะมีความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุมากกว่า 40 ปีควรพบหมอตรวจดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ💖<hr>ความเอาใจใส่เป็นสิ่งจำเป็น✨รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายคุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์💖พร้อมกับออกกำลังกายเบา ๆ คอยทำจิตใจให้แจ่มใส🙂และไม่เครียดหรือกังวลจนเกินไป โดยหมั่นคอยสังเกตุอาการและความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย&nbsp;✨การตรวจป้องกันครรภ์พิษคุณแม่ควรเริ่มฝากครรภ์เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของครรภ์เป็นพิษในช่วงไตรมาสแรก📅 การตรวจป้องกันการเกิดครรภ์พิษได้70% และยังช่วยลดความเสี่ยงได้มากถึง 90% คุณแม่ไม่ควรซื้อมายารับประทานเอง และควรปรึกษากับคุณหมอนะคะ👩‍⚕️&nbsp;

ความเสี่ยงที่ต้องระวังในไตรมาสแรก

เมื่อลูกน้อยเข้าสู่ช่วงอายุ 13-18 เดือนลูกจะเริ่มสลับการคลานและการเดินมากขึ้น และจะมีพัฒนาการอื่นๆอะไรอีกบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ<hr>13-18เดือนนี้จะมีอะไรเปลึ่ยนแปลงบ้างนะ?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2421/4f08604c-0a2b-4058-b203-77f96f39342d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨13-15 เดือนเมื่อเข้าสู่วัย 13 เดือน ลูกจะเริ่มหัดเดินด้วยตัวเอง🚶 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการช้าเร็วของเด็กแต่ละคน บางคนอาจเดินได้เร็ว แต่บางคนก็อาจต้องใช้เวลา ให้เวลาลูกอย่าไปใจร้อนเร่งให้เดินคะ หากมีพัฒนาที่ล่าช้ามากๆ อาจต้องพาลูกไปปรึกษากับคุณหมอนะคะ เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 14 ช่วงนี้ลูกจะคลานสลับกับเดินมากขึ้น ท้องของลูกจะอ้วนกลมน่ารัก ขาและปอดของลูก👶ก็จะแข็งแรงขึ้น กระดูกที่แขนขามีรูปร่างสมส่วนมากขึ้น เพราะได้มีการเจริญเติบโตเต็มที่✨16-18 เดือนเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 16 ในเดือนนี้หนูจะยังไม่รู้วิธีเดินอย่างถ่องแท้ คุณแม่อย่าทิ้งหนูไว้ในเปล หรือรถเข็นเด็กเลยนะ🛒 เพราะหนูอยากหัดเดินให้เก่งกว่านี้ การอุ้มหนูนานๆ หรือการอุ้มสะพายหลังก็จะทำให้หนูพลาดการหัดเดินไปด้วย และเมื่อหนูเข้าเดือนที่ 18 เดือน หนูจะสามารถเดินได้โดยไม่ต้องมีใครช่วย รวมถึงอาจวิ่งและปีนป่ายได้แต่ยังต้องใช้สมาธิอยู่พอควรเลย&nbsp;<hr>เรื่องของสุขภาพ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2421/1519272c-d48a-4298-bd05-a47b30647dd8.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨การฉีดวัคซีนสิ่งสำคัญที่ต้องพาลูกไปทำเมื่ออายุครบ 1 ขวบคือการรับวัคซีน💉ตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน โรคหัด คางทูม หัดเยอะรมัน ไวรัสตับอักเสบบี เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอื่นๆ และควรสอนให้ลูกเข้าใจความสะอาดและให้ลูกรักษาความสะอาดตั้งแต่เด็ก&nbsp;✨ทำแบบนี้อาจป่วยบ่อยหากฝากลูกน้อยไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือ โรงเรียนเตรียมอนุบาล🏫 อาจทำให้ลูกเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อจากเด็กคนอื่นจากการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นผลให้ลูกเป็นหวัดบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยรับวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ให้ครบถ้วนนะคะ✨เมื่อป่วยเมื่อป่วยลูกอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่อาจพบว่าลูกเงียบกว่าปกติ แม้จะยังไม่แสดงอาการว่าป่วย ลูกอาจงอแงมาก😭ผิดปกติ ไม่อยากอาหาร และอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากเดิม

พัฒนาการด้านร่างกายของลูกวัย 13-18 เดือน+วัคซีน

&nbsp; &nbsp; คงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมคะว่าหากเรามีเจ้าตัวน้อย เราคงมีความคาดหวังให้เด็กเป็นคนเรียนรู้ไว มีสติปัญญาดีหรือเป็นเด็กฉลาดนั่น🤓เอง และความจำดีก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติย่อยๆของความฉลาด แต่เนื่องจากเด็กเล็กนั้นเป็นวัยที่สามารถสังเกตได้ยาก เพราะไม่สามารถทำแบบทดสอบเหมือนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยได้ จึงไม่สามารถวัดระดับความรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม แล้วเราจะมีวิธีการสังเกตเด็กความจำดีได้อย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ💁&zwj;♀️<hr>ประเภทความสามารถในการจดจำของเด็ก<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4527/43ba21dc-d8f1-4682-b474-c831c1cd448a.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ความสามารถเกี่ยวกับความจำโดยตรง✨เด็กสามารถจำใบหน้าของคนที่ใกล้ชิด ไม่ว่าผู้ปกครองจะเป็นใคร แต่หากเป็นผู้ที่ใช้เวลาร่วมกับเจ้าตัวน้อยบ่อยๆ เด็กจะเริ่มจำหน้าได้ค่ะ สัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กจำหน้าได้ก็คือ เมื่อเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือไม่สบายใจ เด็กจะร้องหาคุณพ่อคุณแม่👫หรือผู้ปกครองผู้ใกล้ชิดนั่นเองค่ะ และจะบ่งบอกว่าเด็กมีความจำดีเพิ่มขึ้นไปอีก หากเด็กสามารถจำคนที่เจอเพียงไม่กี่ครั้งได้ค่ะ✨เด็กสามารถจำชื่อคนได้💭 เริ่มจากการจำชื่อตนเองก่อน หากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใกล้ชิดเรียกเจ้าตัวน้อยบ่อยๆและมีการตอบสนองทุกครั้ง นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาสามารถจำชื่อตนเองได้แล้ว หากอยู่ในวัยกำลังหัดพูดแล้วลูกเริ่มเรียกชื่อสมาชิกครอบครัวได้ รวมไปถึงสามารถกล่าวสรรพนามที่ใช้เรียกแทนคนในครอบครัวได้ แบบนี้ก็นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กสุขภาพดีเช่นเดียวกันค่ะ✨เด็กสามารถจำกลิ่น👃ของบุคคลใกล้ชิดได้ สัญญาณทีบ่งบอกว่าเด็กจำกลิ่นได้คือการที่เด็กติดกลิ่นของผู้ปกครองนั่นเอง ไม่ได้หมายถึงเพียงกลิ่นจากร่างกายคุณพ่อคุณแม่โดยตรงแต่รวมถึงกลิ่นที่ติดเสื้อผ้าของผู้ปกครองด้วยค่ะ✨เด็กจำสถานที่ที่ใช้เก็บของได้ ของในที่หมายถึงของที่เจ้าตัวน้อยจะได้ใช้บ่อยๆด้วยตนเองโดยตรง ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นของเล่นนั่นเองค่ะ หากที่บ้านมีที่เก็บของเล่น🧸เป็นประจำและลูกจำได้ สามารถเดินไปหยิบมาเล่นเองได้ นี่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กมีความจำที่ดีเช่นกันค่ะความสามารถเกี่ยวกับความจำโดยทางอ้อม💫เด็กมีทักษะการอ่านเขียน📖ที่ค่อนข้างเร็ว เนื่องจากการอ่านและเขียนหนังสือนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความเข้าใจและความจำค่อนข้างสูง ดังนั้นการที่เด็กอ่านออกเขียนได้เร็ว ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวน้อยมีความจำที่ดีเช่นกันค่ะ💫เด็กถ่ายทอดความทรงจำออกมาในรูปแบบของการวาดรูประบายสี🎨 สำหรับเด็กที่สามารถวาดเป็นภาพ🖼️ออกมาได้นั้นแปลว่าเด็กจำบรรยากาศ ช่วงเวลา และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นได้ จึงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กมีความจำที่ดีนั่นเองค่ะ💫เด็กแสดงพฤติกรรมเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองที่ใกล้ชิด เนื่องจากการที่จะเลียนแบบได้ เด็กต้องสามารถจดจำลักษณะและพฤติกรรมของบุคคลนั้นๆให้ได้ก่อน การเลียนแบบจึงเป็นอีกสิ่งที่พอจะบ่งบอกได้ว่าเด็กมีพัฒนาการทางด้านความจำที่ดีนั่นเองค่ะ💫เด็กโกหกหรือปิดบังเรื่องราวต่างๆเก่ง🫢 เนื่องจากการโกหกที่ดีนั้นต้องการการจำภาพความเป็นจริงได้อย่างแม่นยำแล้วจึงนำมาดัดแปลง อย่างไรก็ตาม แม้การโกหกที่แนบเนียนจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กมีความจำดี และอาจเป็นการโกหกเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ผู้ปกครองก็ไม่ควรนิ่งนอนใจและสอนให้เด็กได้รับรู้ถึงผลเสียที่ตามมาหลังจากการโกหกค่ะ<hr>ฝึกให้เด็กความจำดีได้อย่างไร<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4527/71e53377-8588-438b-9485-29b46181ca0e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">วิธีที่&nbsp;1️⃣ในการฝึกทักษะอะไรก็ตามสำหรับเด็กเล็ก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้เจ้าตัวน้อยของเรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่การฝึก ไม่ต้องเคร่งเครียด พูดง่ายๆคือการทำให้เด็กรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการฝึกนั่นเอง ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นการเล่นเกม🎮ใช่ไหมคะ ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆได้ด้วยการเล่นเกมพัฒนาความจำค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเกมการ์ด จิ๊กซอว์🧩 เลโก้ จับคู่ภาพเหมือน จนไปถึงการเล่นเกมใบ้คำและทายคำก็สามารถช่วยได้ค่ะวิธีที่&nbsp;2️⃣ในวัยที่เริ่มเขียนหนังสือได้ ผู้ปกครองอาจฝึกให้เด็กมีการจดบันทึกอย่างเป็นกิจวัตร📝 ซึ่งอาจทำผ่านรูปแบบการจดบันทึกประจำวันหรือไดอารี่ก็ได้ค่ะวิธีที่&nbsp;3️⃣จัดโภชนาการที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านความจำให้เด็ก ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารประเภทโคลีน โอเมก้า 3🐠 วิตามินอี ที่ส่งเสริมการพัฒนาระบบประสาทและสมอง🧠ของเด็กโดยตรงค่ะวิธีที่&nbsp;4️⃣ควบคุมการพักผ่อนของลูกให้เพียงพอ😴 เนื่องจากช่วงเวลานอนหลับพักผ่อนนั้นจะเป็นช่วงที่ร่างกายของเด็กได้พักและมีพัฒนาระบบต่างๆของร่างกายรวมไปถึงระบบประสาทและสมองค่ะ

 ทำยังไงให้ลูกความจำดี

หลายๆคนอาจเพิ่งเคยได้ยินวัยทองสองขวบเป็นครั้งแรก จะมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างจากวัยทองที่เรารู้จักอย่างไรบ้าง และจะมีวิธีรับมือได้อย่างไรเราไปดูกันเลยค่ะ<hr>วัยทองสองขวบ คืออะไร<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2452/2e268c4a-2c16-4f23-93e1-5080eb70af0e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨วัยทองสองขวบคือเมื่อลูกอายุ 2 ขวบ ลูก👶จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ลูกมีความรู้สึกและความคิดของตัวเอง เมื่อบางครั้งไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ ก็จะรู้สึกไม่พอใจ หงุดง่าย และยังพูดแสดงออกไม่เป็นจึงใช้วิธีปาของกรีดร้องแทน✨สาเหตุสมองที่ควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ มีการเติบโตไวกว่าสมองที่ควบคุมเหตุผลและคิด🧠<hr>มีวิธีรับมืออย่างไร<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2452/d1ac3bbe-bd82-45b4-8726-92308480cdd0.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨รับฟังและเข้าใจฟังลูก👶ของคุณและพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกอยากสื่อสาร และพยายามหาทางแก้✨พักผ่อนเพียงพอ&nbsp;ให้ลูกได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ💤 เพราะการนอนไม่เพียงพอจะทำให้ลูกหงุดหงิดโมโหได้ และพยายามออกไปข้างนอกบ้านเมื่อไม่ใช่เวลานอนของลูก✨ให้ทานอาหารตรงเวลาลูกควรได้ทานอาหารอย่างตรงเวลาทั้ง 3 มื้อ เพื่อให้ลูกไม่หิวและอารมณ์ดี หากต้องออกไปข้างนอกก็ควรเตรียมอาหารให้ลูกทานให้ตรงเวลาที่ลูกกินข้าว🍲ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นลูกอาจโมโหหิวได้✨สอนให้ลูกเข้าใจอธิบายให้ลูกฟังว่าการโมโหแล้วปาสิ่งของและโหวกเหวกโวยวายเสียงดังเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควร และให้ทุกคนทำเป็นไม่สนใจ❌เวลาลูกโมโห อาจเปลี่ยนเรื่องคุย หรือชวนลูกอ่านนิทาน<hr>อารมณ์เหล่านี้จะมีผลกระทบตอนโตหรือไม่?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2452/a9edb92d-3705-483c-aa16-5297091a1b39.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ปัจจัยสร้างนิสัยเด็กจริงๆแล้วมีปัจจัย 2 อย่างด้วยกันที่จะสร้างให้เด็กมีนิสัยอย่างไรต่อโต อย่างแรกคือพื้นอารมณ์ของเด็ก👶 ที่มีมาตั้งแต่เกิด ซึ่งแต่ละคนจะมีนิสัยแตกต่างกันออกไป และอย่างที่สองคือสิ่งแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดู ครอบครัว เพื่อนรอบข้าง✨ช่วยปรับเปลี่ยนได้แม้ว่าลูกจะมีนิสัยขี้เหวี่ยง เอาแต่ใจ แต่หากเลี้ยงดูโดยช่วยกันปรับเปลี่ยนนิสัยเมื่อโตขึ้นก็จะสามารถควบคุมอารมณ์🧠 ได้ แต่อย่างไรก็ตามในช่วงวัย 2 ขวบนั้นลูกจะอารมณ์เสีย และเหวี่ยงง่าย💢ตามพัฒนาการของวัย โดยหากลูกเป็นคนใจร้อนอยู่แล้วก็อาจมีการแสดงอาการที่มากกว่าเด็กคนอื่นก็จะต้องช่วยกันปรับพฤติกรรมไปในทางที่ดีค่ะ

วัยทองสองขวบ มีด้วยหรอ!?

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ในปัจจุบันภาวะแทรกซ้อนต่างๆในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงความอันตรายไว้ในระดับเดิม หนึ่งในภาวะที่แย่ที่สุดที่ทุกครอบครัวคงไม่อยากให้เกิดก็คือภาวะแท้งนั่นเอง แต่คุณผู้อ่านหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า อีกหนึ่งสิ่งที่น่ากังวลกว่าการแท้งปกติ คือ &ldquo;ภาวะแท้งซ้ำซาก&rdquo; แต่ภาวะแท้งซ้ำซากนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร จำเป็นต้องเกิดกับคุณแม่ทุกคนที่มีประวัติการแท้งหรือไม่ เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้กันเลยค่ะ<hr>อะไรคือภาวะแท้งซ้ำซาก<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4221/47c45c1c-baca-4719-b9a7-36525962a311.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">&nbsp; &nbsp; อันที่จริงแล้ว คุณผู้อ่านจะสังเกตว่า ชื่อภาวะสามารถบอกอาการของภาวะได้ค่อนข้างตรงตัวเลยใช่ไหมคะ แต่ในเชิงการแพทย์ ได้มีการให้ความหมายกับภาวะนี้อย่างชัดเจนไว้ว่า เป็นภาวะที่คุณผู้หญิงผ่านการแท้งบุตรมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป หรือบางโรงพยาบาล🏥อาจขยายขอบเขตเป็น 3 ครั้งขึ้นไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนมากนัก และควรเร่งหาสาเหตุของการแท้งเพื่อป้องกันการแท้งครั้งต่อไปในอนาคตค่ะ<hr>อะไรเป็นสาเหตุให้คุณแม่มีภาวะแท้งซ้ำซาก<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4221/b9708ade-468a-4614-8f4a-262a8425d7ad.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่อาจมีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติระบบภูมิคุ้มกันของเรา หลักๆแล้วประกอบไปด้วยเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีหน้าที่ตรวจเช็คและกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ซึ่งทารกก็ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมเช่นเดียวกันค่ะ แต่โดยปกติแล้ว เม็ดเลือดขาวของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะเข้าไปทำความรู้จักกับเจ้าทารกที่พึ่งมาฝังตัว และจดจำใหม่ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมอีกต่อไป แต่หากกระบวนการนี้มีความผิดปกติ คือเกิดมากเกินไป เม็ดเลือดขาวอาจเข้าใจว่าสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อโรคอื่นๆก็ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมด้วย🦠 คุณแม่และทารกจึงเสี่ยงติดเชื้อ แต่หากเม็ดเลือดขาวขาดกระบวนการนี้ เม็ดเลือดขาวก็จะต่อต้านทารก ซึ่งผลเสียต่อทั้งตัวทารกเองและตัวคุณแม่เช่นเดียวกันค่ะคุณแม่อาจมีเลือดที่แข็งตัวผิดปกติความผิดปกติในที่นี้หมายถึงความหนืดของเลือด🩸 หากคุณแม่ท่านใดมีเลือดที่ค่อนข้างหนืด ก็มีโอกาสในการที่เลือดจะกลายเป็นลิ่มมาอุดตันเส้นเลือดแดงที่ทำหน้าที่ส่งอาหารแก่ทารก ทำให้เด็กในท้องขาดสารอาหารหรือทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น คลอดก่อนกำหนด ครรภ์เป็นพิษ หรือแม้กระทั่งการที่ทารกพิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ค่ะ<hr>คุณแม่ท่านใดควรเข้ารับการตรวจภาวะแท้งซ้ำบ้าง<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4221/c1e2f7c4-b4b9-4e92-974d-31c926e6d232.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">🌿คุณแม่ที่ผ่านการแท้งบุตร 2 ครั้งขึ้นไป (อาจเปลี่ยนหลักเกณฑ์เป็น 3 ครั้งตามดุลยพินิจของแต่ละโรงพยาบาล)🌿คุณแม่ที่ประสบกับภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ 3 ปีขึ้นไป🌿คุณแม่ที่เคยมีประวัติตั้งครรภ์หรือคลอดผิดปกติมาก่อน🌿คุณแม่ที่เคยมีประวัติปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย🌿คุณแม่ที่เคยถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะแท้งซ้ำ และยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ อีกทั้งยังไม่มั่นใจว่าหายดีหรือยัง&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะแท้งซ้ำจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่ากังวลสำหรับคุณแม่ รวมไปถึงคู่สมรสหลายๆคู่ แต่หากคุณแม่และคนรอบตัวช่วยกันสังเกตถึงความผิดปกติของร่างกายตนเอง ไม่เพียงแต่ในส่วนของการตั้งครรภ์ แต่รวมถึงสุขภาพร่างกายทั่วไปด้วย หากพบความผิดปกติและรีบพบแพทย์ ภาวะต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อการมีเจ้าตัวน้อย รวมถึงภาวะแท้งซ้ำ ก็จะสามารถถูกวินิจฉัยหาสาเหตุและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ

ภาวะแท้งซ้ำซาก คืออะไร?

https://m.blog.naver.com/jmg2616

네이버 블로그에요 같이 육아소통하면서 지냈으면 좋겠어요 서로이웃환영합니다🥰

육아블로그 소통해요~

임신과 출산, 육아의 여정을 지나오다 보면 모든 엄빠들에게는 연출된 듯한 극적 순간, 감동적인 무용담 하나쯤은 가지고 계실테죠. 한편의 영화🎞️ 같은 우리의 삶을 함축적으로 담아둔 장르별 콘텐츠 몇 편을 소개해 드리려고 해요. 다가온 여름 휴가 기간! 산으로 바다로 떠나 자연을 즐기려는 엄빠님들도 계실테지만, 무더위를 피해 시원한 실내에서 푹 쉬며 힐링🍃하려는 엄빠님들도 계실 것 같아요. 임신 전, 출산 전, 육퇴 후 엄빠들의 여름휴가를 더욱 풍성하게 만들어줄 팝콘🍿 각! 넷플릭스 띵작 빌리가 추천해 드릴게요.<hr>드라마 &#39;산후조리원&#39;(2020)&nbsp;#출산 #육아 #코미디<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4361/6788f4f3-c389-46b3-a92f-e5c48aaa6b9a.jpeg">출처 : tvN &#39;산후조리원&#39;나이, 직업, 학교 등 공통점 하나 없는 다 큰 어른 여자들이 단지 비슷한 시기에 아이를 낳았다는 이유 하나☝🏻만으로 만난 지 삼분 만에 서로의 가슴을 훌러덩 까 보이며 순식간에 대동단결, 절친이 되는 지구상🌏 유일무이한 곳. 그곳은 바로 산후조리원이죠!&nbsp;엄마가 된 지 일주일 차. 엄마 이전의 삶이 아직은 더 익숙한 여자들의 이야기이자 새로운 삶에 적응기가 필요한 사람들의 이야기를 담은 드라마예요. 곧 조리원에 입성하게 될 엄마도, 이 과정을 모두 겪은 엄마도 재미있게 보실 수 있을 거예요!😆<hr>영화 &#39;프라이빗 라이프&#39;(2018)#임신준비 #난임 #블랙코미<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4361/5dd8a36e-d91e-4761-8857-6f26401594f6.jpeg">출처 : &nbsp;넷플릭스 &#39;프라이빗 라이프&#39;난임으로 고통스러운 세월을 보내는 40대 중년 부부💞의 이야기를 담은 영화예요. 젊었을 때는 꿈을 위해 2세 계획을 미뤄두었다가 시간이 흘러 어느덧 40대가 되어 임신을 계획하지만, 마음 먹은 것과 달리 아기가 생기지 않았어요. 아이를 얻기 위해 의학적으로 가능한 모든 도움을 받지만 끝내 아이를 가지는 데 실패😞하고, 결국 난자 기증을 고민하게 되죠.&nbsp;기증자를 찾는 과정 중에 조카가 찾아오고 흔쾌히 난자를 기증하겠다고 하면서 부부는 새로운 국면을 마주하게 되어요. 난임 부부들이 아이를 갖기 위해 노력하는 과정 중 겪는 심리적, 감정적 변화를 잘 그려낸 영화🎞️예요. 다소 무거울 수 있는 주제지만 유머러스한 대사와 상황이 잘 버무려져 있답니다.<hr>애니메이션 &#39;코타로는 1인 가구&#39; (2022)#육아 #코미디 #감동<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4361/c23e9056-e9cd-4489-b3dc-ed6724fb8c78.gif">출처 : &nbsp;넷플릭스 &#39;코타로는 1인 가구&#39;허름한 원룸 건물에 혼자 이사📦 온 네 살짜리 소년 코타로가 이웃 어른들과 함께 어우러 살아가는 모습을 담은 20여 분짜리의 10화 애니메이션이에요. 코타로는 학대, 방치 속에서 자란 아이로 코타로가 가지고 있는 사연들은 일본에서 일어난 실화들을 근거로 구성했다고 해요. 드라마나 영화보다 호흡이 짧은 에피소드 형식으로 진행되지만 스토리는 결코 가볍지만도 않아요. 코타로를 통해 이웃들이 위로받고 코타로도 치유되는 과정을 그려냈어요🫶🏻. 보고 나면 &#39;한 아이를 키우는 데 온 마을이 필요하다&#39;는 속담이 자연스럽게 떠오르실 거예요.🤔<hr>예능 프로그램 &#39;나의 첫 심부름&#39; (1991)#육아 #사회성발달 #성장<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4361/f3a3d875-f4cf-4405-9e7e-719750de7c92.jpeg">출처 : &nbsp;넷플릭스 &#39;나의 첫 심부름&#39;난생 처음 혼자서 심부름하러 가는 만 2~4세 아이의 모습을 카메라📹에 담은 &#39;나의 첫 심부름&#39;은 일본의 장수 예능 프로그램 중 하나예요. 한 에피소드 당 10~20분 내외의 짧은 분량에 아이가 심부름하는 내용이 전부이지만 많은 이들의 마음을 빼앗기 충분한 힐링 콘텐츠예요.동네 사람들과 촬영진은 곁에서 아이가 스스로 안전하게 심부름을 해낼 수 있도록 기다려주고, 서투른 처음을 한 마음으로 응원👏🏻하며 때론 도움을 주기도 한답니다. 비슷한 레파토리지만 에피소드마다 색다른 감동을 느낄 수 있으니 가볍게 보시기 추천드려요!💓&nbsp;<hr>(+보너스) 드라마 &#39;슬기로운 의사생활&#39; (2020)#일상 #감동 #공감<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4361/a57d6114-41a9-43d8-9616-ce5c6ae2b371.jpeg">출처 : tvN &#39;슬기로운 의사생활&#39;에디터의 사심 가득담아 보너스💌로 하나 더 추천드려요! 슬기로운 의사생활이 여느 의학 드라마와 다른 점은 병원 내 권력다툼이나 선악 구도가 없다는 것이에요. 청춘의 시기를 함께 보냈던 5명의 평범한 친구들이 40살에 접어들어 각기 다른 인생의 형태를 가지고 만나 병원🏥 안에서 함께 성장하며, 밴드를 통해 지극히 평범한 우리의 인생을 노래하죠.&nbsp;&#39;슬기로운&#39; 이란 무엇인지에 대해서 직접 교훈을 주려하지 않고, 에피소드들을 통해 스스로 깨달음💡을 얻게 해주어요. 에피소드들이 가볍지만 마음 한 켠을 따뜻하고 묵직하게 채워준답니다. 이 글을 쓰고 있는 에디터는 임신 시기에 임신부 에피소드 보며 어찌나 공감이 가던지 눈물, 콧물 흘렸답니다. 보기만 해도 마음이 정화되고 가족의 소중함, 감사함을 되새기게 되니 이미 보셨더라도 다시 한번 보시길 추천드려요!

휴가지에서 볼만한 우리의 삶이 담긴 넷플릭스 띵작 추천!🎬

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ก่อนอื่นเลยนะคะต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ๆในการตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ด้วยค่ะ คุณแม่ๆทราบใช่ไหมคะว่าสิ่งสำคัญในการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์คือต้องจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เราจะพูดถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองในช่วงไตรมาสที่ 3 กันเลยนะคะ💁‍♀️<hr>เพราะอะไรการตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญในไตรมาสที่ 3การตรวจคัดกรองในช่วงไตรมาสที่ 3 มีบทบาทสำคัญในการรับประกันความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งแม่และทารกค่ะช่วยในการระบุและจัดการกับความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ระยะนี้ได้ ด้วยการตรวจพบปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ผู้ให้บริการด้านการแพทย์👨‍⚕️สามารถใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการคลอดบุตรอย่างมีสุขภาพดีค่ะ<hr>ควรทำการทดสอบอะไรบ้างในช่วงไตรมาสที่ 3การทดสอบเฉพาะที่คุณแม่ๆอาจต้องทำในช่วงไตรมาสที่ 3 จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณแม่ๆแต่ละท่านนะคะ และปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นซึ่งระบุโดยผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณแม่ๆด้วยค่ะ การทดสอบทั่วไป เช่นการทดสอบความทนทานต่อกลูโคส หรือ GTT&nbsp;การทดสอบนี้จะตรวจหาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด🩸ในระหว่างตั้งครรภ์ค่ะการทดสอบ Group B Streptococcus&nbsp;ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถอยู่ในช่องคลอดได้ การทดสอบ GBS ช่วยพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ💊ในระหว่างการคลอดบุตรหรือไม่ เพื่อปกป้องทารกจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นค่ะการทดสอบที่ไม่ใช่ความเครียด หรือ NST&nbsp;การทดสอบนี้จะวัดอัตราการเต้นของหัวใจ🫀และรูปแบบการเคลื่อนไหวของทารกเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดี มักแนะนำหากมีความกังวลเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของทารก หรือหากคุณมีอาการป่วยบางประการค่ะอัลตราซาวด์&nbsp;โดยทั่วไปการสแกนอัลตราซาวนด์จะดำเนินการในไตรมาสที่ 3 เพื่อประเมินการเจริญเติบโต ตำแหน่ง และความเป็นอยู่โดยรวมของทารก👶🏻 นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถตรวจสอบรก ระดับน้ำคร่ำ และความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ<hr>ความสำคัญของการดูแลตนเองในช่วงไตรมาสที่ 3การดูแลตัวเองในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีและพัฒนาการด้านสุขภาพของลูกน้อย คุณแม่ๆ สามารถทำได้หลากหลายวิธีเลยนะคะ อย่างเช่นเคล็ดลับการดูแลตัวเองดังต่อไปนี้ค่ะรับประทานอาหารที่สมดุล&nbsp;คุณแม่ๆสามารถมุ่งเน้นไปที่การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารที่ให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ๆและสุขภาพของลูกน้อย รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นและเลือกทานอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ 🍲เพื่อจัดการกับอาการไม่สบายที่เกิดจากพุงที่กำลังเติบโตค่ะมีความกระฉับกระเฉง&nbsp;คุณแม่ๆ สามารถออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอและมีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดินหรือโยคะก่อนคลอด🧘‍♀️ เพื่อรักษาระดับความฟิตและปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต อย่างไรก็ตาม คุณแม่ๆ ควรปรึกษาผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณแม่ๆ ก่อนเริ่มกิจวัตรการออกกำลังกายใหม่ทุกครั้งค่ะพักผ่อนให้เพียงพอ&nbsp;ร่างกายของคุณแม่ๆ ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูและดูแลลูกน้อย ดังนั้นควรพักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ งีบหลับสั้นๆ ในระหว่างวันหากจำเป็น และจัดลำดับความสำคัญของสภาพแวดล้อมการนอนที่สะดวกสบายด้วยนะคะจัดการความเครียด&nbsp;ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าการตั้งครรภ์อาจเป็นเรื่องท้าทายทางอารมณ์ ดังนั้นการหาวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ๆสามารถฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ😮‍💨 การทำสมาธิ หรือการนวดก่อนคลอด&nbsp;เข้าร่วมการตรวจสุขภาพก่อนคลอดเป็นประจำ&nbsp;การตรวจสุขภาพเป็นประจำกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณแม่ๆ👨‍⚕️ มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะจะช่วยให้สามารถติดตามการเจริญเติบโตของทารก จัดการกับข้อกังวล และให้คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับการคลอดบุตรที่ดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ

คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 ต้องตรวจคัดกรองอะไรบ้าง มาดูกัน!

Gemas rasanya saat melihat bayi bertepuk tangan sambil tertawa lebar. Tahukah Anda bahwa bertepuk tangan👏 juga merupakan salah satu pencapaian bayi yang penting lho.<hr>Mulai kapan bayi bertepuk tangan?💭Kapan bayi mulai bisa bertepuk tangan?Biasanya bayi sudah mulai bisa bertepuk tangan ketika menginjak usia 9 bulan. Bayi sudah mulai bisa tepuk tangan ketika ia sudah bisa duduk, menarik dan mendorong tubuhnya dengan tangan✋, dan belajar merangkak.📌Bagaimana jika bayi terlambat untuk tepuk tangan?Jika bayi Anda belum bisa bertepuk tangan di usia 9 bulan, Anda tidak perlu khawatir. Setiap bayi mempunyai kecepatan tumbuh kembangnya masing-masing😊. Namun jika si kecil telah menginjak usia 1 tahun tapi masih belum bisa tepuk tangan, Anda dapat mengkonsultasikan hal ini dengan pakar tumbuh kembang.<hr>Bayi bertepuk tangan ternyata ada alasannya lho!👶Ingin berkomunikasiBertepuk tangan juga merupakan cara bayi untuk berkomunikasi. Pada awalnya, bayi bertepuk tangan karena meniru orang di sekitar mereka, tetapi semakin mereka bertumbuh besar, mereka akhirnya paham🤓 bahwa dengan bertepuk tangan, mereka dapat menyampaikan perasaan mereka.✨Kemampuan motorik si kecil berkembangAktivitas yang melibatkan gerakan tangan, contohnya mengambil🤏 benda, melambaikan, menunjuk dengan tangan, mengedarkan benda dari satu tangan ke tangannya yang lain adalah pencapaian besar bayi dalam satu tahun awal kehidupannya. Bertepuk tangan juga merupakan bagian dari perkembangan alami keterampilan motorik kasar dan halus bayi ini.🔑Mengekspresikan pencapaiannyaBayi merupakan pengamat yang jeli dan bisa mempelajari sebab akibat dari pengamatannya yang berulang. Jika Anda sering bertepuk tangan saat si kecil berhasil melakukan sesuatu hal, maka ia akan memahami bahwa bertepuk tangan👏 merupakan bentuk dari tanda keberhasilan, sehingga ia akan bertepuk tangan saat merasa berhasil mencapai sesuatu.<hr>Tips untuk mendorong bayi untuk bertepuk tangan💨Tepuk tangan dengan kecepatan yang bervariasiBayi menyukai hal-hal yang tidak terduga😉. Anda dapat memperagakan gerakan bertepuk tangan dengan kecepatan yang bervariasi agar bayi terdorong untuk ikut mengikuti.🚗Bermain permainanAnda dapat melatih bayi Anda untuk bertepuk tangan dengan mengajaknya bermain permainan yang melibatkan gerakan tangan. Anda dapat sambil menyenandungkan lagu🎵 atau memasang lagu yang menyenangkan agar ia semakin tertarik.

Plok..Plok..Plok.. Kapan bayi bertepuk tangan?

สาวสายปาร์ตี้ที่กลายเป็นคุณแม่ อาจมีข้อสงสัยมากมายว่าสามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้หรือไม่ จิบเหล้าเบาๆได้หรือไม่? หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าแอลกอฮอล์ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่หากดื่มแอลกอฮอล์แล้วจะส่งผลต่อทารกในครรภ์อย่างไรบ้างเราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>ทำไมคุณแม่ถึงไม่ควรดื่มเหล้า?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3419/b5a2d707-c1d1-45f9-ba4c-859208001f45.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">งานวิจัยพบแอลกอฮอล์ส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์งานวิจัยมากมายพบว่าคุณแม่ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากระหว่างการตั้งครรภ์สามารถส่งผลให้ทารกพิการแต่กำเนิดได้ แต่การดื่มจิบๆ🍷เพียงเล็กน้อยนั้น ยังไม่มีผลชัดเจนว่ามีการส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์หรือไม่คุณแม่ควรเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกเพราะในช่วง 3 เดือนแรกนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของการพัฒนาระบบประสาท🧠และอวัยวะต่างๆของลูกน้อยในครรภ์ จึงมีความเสี่ยงสูงที่ลูกน้อยจะมีความผิดปกติที่เรียกว่า Fetal Alcohol Spectrum Disorder (FASD)&nbsp;โดยแอลกอฮอล์🍺ยังรบกวนการรับสารอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของสมองของลูกน้อยรวมถึงอวัยวะต่างๆของลูก และยังไปรบกวนการรับออกซิเจนอีกด้วยซึ่งความรุนแรงของผลกระทบนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์ที่คุณแม่ดื่ม&nbsp;<hr>ความผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทารกเมื่อคุณแม่ดื่มแอลกอฮอล์มีดังนี้<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3419/9355f0cd-963d-4560-8a94-530614c88770.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ความผิดปกติของใบหน้าทารก✨ช่องระหว่างตาสั้น หรือแคบ✨ริมฝีปากบนยาว และบาง✨ร่องริมฝีปากบน (Phil rum) เรียบ✨หนังคลุมหัวตามาก (epicanthal folds)✨ปลายจมูกเชิดขึ้น✨จมูกแบน✨บริเวณส่วนกลางใบหน้า มีการพัฒนาน้อยกว่าปกติ (midface hypoplasia)นอกจากนั้นเด็กก็อาจมีความผิดปกติทางสมองหรือสติปัญญาได้<hr>ความผิดปกติทางสมองและสติปัญญา<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3419/b9f67d88-7906-4268-a8b6-70b3a591b817.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ความผิดปกติของสมองแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการทำลายของเซลล์ประสาท และส่งผลให้การเจริญเติบโตของทารกบกพร่อง ทำให้ทารกเกิดมามีน้ำหนักน้อย ตัวเล็ก และอาจมีความผิดปกติทางโครงสร้างสมอง🧠 เช่น สมองใหญ่มีร่องผิดปกติ ไม่มีสมองใหญ่ เนื้อสมองและเยื่อหุ้มสมองเลื่อน เป็นต้นความบกพร่องทางสติปัญญาทารกอาจมีความบทพร่องทางสติปัญญา เช่น พัฒนาการล่าช้า ปัญญาอ่อน มีปัญหาด้านความจำ มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ รวมถึงอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางจิตเวช อย่างภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล😞 หรือมีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ เช่น สมาธิสั้น ไม่อยู่นิ่ง อาการซุกซนเป็นต้น&nbsp;แม้ว่าการจิบแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์นิดหน่อยอาจจะยังไม่เห็นผล แต่หากดื่มในปริมาณมาก นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณแม่แล้วยังส่งผลต่อ พัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย ดังนั้นคุณแม่อาจจะต้องระวังสุขภาพในช่วงนี้กันสักนิดเพื่อลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์🤰นะคะ

คุณแม่ดื่มเหล้ามีผลต่อทารกในครรภ์ขนาดไหน?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;โรคเครียดถือเป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างง่ายในวัยกลางคน เนื่องจากภาระหน้าที่ที่มากมายเพิ่มขึ้นตามวัยและช่วงอายุ หลายๆท่านก็อาจจะกำลังประสบกับโรคเรียดอยู่ หากแต่ไม่รู้ตัวหรือมองข้าม เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องธรรมดาที่ทุกคนคงเป็นเหมือนๆกัน แต่คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่า โรคเครียดนั้นสามารถเกิดขึ้นกับเด็กได้เช่นเดียวกัน น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ว่าทำไมเด็กๆที่ยังไม่จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบหรือหน้าที่การงานมากมายในชีวิตจึงสามารถเกิดความเครียดจนเป็นโรคเครียดได้เหมือนวัยผู้ใหญ่เลย วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคเครียดที่เกิดในเด็กไปพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>สาเหตุของโรคเรียดในเด็กพันธุกรรม🧬&nbsp;การที่คุณพ่อคุณแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติว่าเป็นโรคเครียด หรือโดยธรรมชาติเป็นคนที่เกิดความเครียดได้ง่าย ก็มีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเครียดได้เช่นเดียวกันค่ะสภาพแวดล้อมรอบตัว&nbsp;ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมถือว่าเป็นปัจจัยหลักเลยค่ะ ที่จะหล่อหลอมว่าเด็กจะเป็นโรคเครียดหรือไม่ หากสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเด็กไม่ดี มีเหตุการณ์ที่ไม่สงบ ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่ต้องเผชิญกับปัญหาครอบครัว การทะเลาะเบาะแว้งทั้งกับคนในครอบครัวและการกลั่นแกล้งในโรงเรียน🏫 ความกดดันจากผู้ปกครองฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง&nbsp;ฮอร์โมนนั้นคือสารเคมีประเภทหนึ่งในร่างกาย ที่ถือเป็นกลไกหลักในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์เรา ดังนั้นฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้เด็กเกิดความเครียดจากภายในได้ค่ะ🤯ระดับความรุนแรงของความเครียดในเด็ก✅ระดับเบา เป็นความเครียดที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยยังไม่กระทบกับชีวิตประจำวันมากนัก แต่เด็กจะมีอาการเครียด😡 ประกอบกับวิตกกังวล ไม่มีสมาธิมากพอที่จะจดจ่อกับอะไรนานๆได้ แต่ยังไม่กระทบกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มักเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ เกิดขึ้นแล้วไม่นานก็จะหายไปค่ะ✅ระดับกลาง เป็นระดับที่เริ่มส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเด็ก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการเรียนและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างค่ะ✅ระดับสูง เป็นระดับที่รุนแรง เป็นความเครียดที่มากพอที่จะทำให้เด็กไม่มีสมาธิในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ไม่สามารถเรียนหนังสืออย่างมีประสิทธิภาพได้ ตามมาด้วยอาการหดหู่ เหม่อลอย หากปล่อยไปจะตามมาด้วยอาการซึมเศร้า อยากทำร้ายตนเอง อยากตาย💀ระดับความรุนแรงที่มักพบเจอในเด็ก✨สำหรับความเครียดระดับเบา สามารถพบในเด็กได้มากถึง 20-30%✨สำหรับความเครียดในระดับกลางถึงรุนแรง จะพบได้ในเด็กเพียงประมาณ 5-10% เท่านั้นค่ะ<hr>&nbsp;วิธีป้องกันและบรรเทาความเครียดในเด็กสังเกตพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเด็ก&nbsp;คำว่าสังเกต เป็นเพียงแค่การสังเกตไกลๆเท่านั้น ไม่ใช่การจับผิดจนทำให้เด็กๆอึดอัดค่ะ หากเห็นว่าความสุขหรืออารมณ์ในชีวิตประจำวันของลูกเปลี่ยนแปลงไป คุณผู้ปกครองสามารถเข้าไปพูดคุยเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับลูกได้ ถ้าพวกเขาเห็นว่าเป็นวงสนทนาที่ปลอดภัยมากพอ เด็กๆก็จะเล่าหรือระบายออกมาให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเอง🗣️ ไม่จำเป็นต้องบังคับหรือกดดันให้เด็กเพิ่ม เพราะจะเป็นการเพิ่มความเครียดให้เด็กค่ะรับฟังด้วยเหตุผลอย่างใจเย็น&nbsp;ไม่ตัดสิน ไม่ตำหนิ เมื่อลูกๆไว้ใจคุณพ่อคุณแม่มากพอที่จะเล่าเรื่องราวที่ทำให้ไม่สบายใจแล้ว หากคุณผู้ปกครองต้องการสร้างบรรยากาศที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยในบทสนทนานี้ และบทสนทนาต่อๆไปในอนาคต🤗 ให้คุณผู้ปกครองรับฟังพวกของอย่างตั้งใจ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดโดยยังไม่ออกความคิดเห็นของตนเองขัด ไม่พูดแทรก ไม่ตัดสิน และไม่ตำหนิการกระทำของพวกเขา หากทำผิดก็ให้ปรับความเข้าใจด้วยเหตุผลอย่างใจเย็น ไม่ใช้อารมณ์ขระพูดคุยค่ะ ที่สำคัญที่สุด แม้จะเป็นเรื่องที่ผิดมากๆแต่ก็ห้ามใช้กำลังในการสอนเด็ก เพราะเป็นวิธีที่มีแต่จะทำให้เด็กต่อต้าน และไม่เล่าอะไรให้ผู้ปกครองฟังอีกในอนาคตเพราะกลัวจะโดนทำร้ายค่ะเอาใจใส่และมีเวลาให้ลูก&nbsp;เมื่อสังเกตว่าลูกมีความเครียดหรือแม้แต่มีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเพียงเล็กน้อย หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่คือการทำให้เขารู้สึกว่าตนเองจะมีคุณพ่อคุณแม่เคียงข้างและรับฟังอยู่เสมอ👂 จะทำให้เด็กๆไม่รู้สึกว่าต้องก้าวข้ามผ่านปัญหาอยู่คนเดียว ซึ่งอาจทำให้เด็กๆรู้สึกโดดเดี่ยวได้ค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;จะเห็นแล้วนะคะว่าความเครียดที่อาจรุนแรงไปจนถึงโรคเครียดนั้นสามารถเกิดขึ้นในเด็กได้เช่นเดียวกัน ไม่เฉพาะแค่ในวัยทำงานเท่านั้น ที่สำคัญ เราไม่ควรมองว่าความเครียดของเด็กเป็นเรื่องเล็ก เขาควรจะผ่านไปด้วยตนเองได้ เพราะคนในแต่ละช่วงอายุก็มองเรื่องใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ในตอนนั้น เรื่องราวที่ดูเล็กของเราอาจเป็นโลกทั้งใบของเด็กๆเลยก็ได้ค่ะ👶🏻

โรคเครียดในเด็ก

คุณแม่หลายๆท่านชอบทานเผ็ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะอยากทานอาหารเผ็ดในบ้างครั้ง ซึ่งหลายๆท่านอาจจะมีความกังวลว่าการทานอาหารเผ็ดจะอันตรายกับทารกในครรภ์หรือไม่ สามารถทานได้จริงหรือ ในวันนี้เราจะไปพบกับคำตอบกันค่ะ&nbsp;<hr>ความอยากอาหารรสเผ็ดในคุณแม่ตั้งครรภ์ความอยากอาหารเผ็ดเมื่อตั้งครรภ์คุณแม่จะเริ่มอยากอาหารบางชนิดที่ไม่เคยชอบทานมาก่อน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์🤰นั่นเองค่ะ ซึ่งหลายๆคนมีความเชื่อว่าหากทารกในครรภ์เป็นลูกชายจะมีโอกาสที่คุณแม่จะอยากทานเผ็ด🌶️ หรือ บางคนก็เชื่อว่าเป็นธรรมชาติของร่างกายที่จะทำให้เย็นลง เพราะเมื่อทานเผ็ดจะทำให้เหงื่อออก และทำให้ลดอุณหภูมิของร่างกายลง&nbsp;คุณแม่กินเผ็ด ทำให้ลูกในครรภ์แสบผิวจริงหรือ?สำหรับข้อนี้ไม่เป็นความจริงนะคะ เพราะรสชาติต่างๆที่ทานเข้าไปจะไม่ได้ไปส่งผลกับลูกดังนั้น ลูก👶ก็จะไม่แสบตัวค่ะ เพียงแต่คุณแม่จะรู้สึกเผ็ดและอาจจะปวดท้องได้ แต่ไม่ต้องกังวลสำหรับลูกน้อยนะคะ เพราะไม่ได้เป็นอันตรายค่ะ&nbsp;<hr>อาหารเผ็ดปลอดภัยจริงหรือ?อาหารรสเผ็ดปลอดภัยกับทารกในครรภ์จริงหรือเปล่า?คำตอบก็คือมีความปลอดภัยแน่นอนนะคะ เพราะความเผ็ดที่คุณแม่ทานเข้าไปนั้นไม่สามารถเข้าไปทำร้ายทารกในครรภ์🤰ได้ แต่ก็มีงานวิจัยงานหนึ่งที่ออกมารายงานว่าอาหารบางชนิดที่คุณแม่ทานระหว่างตั้งครรภ์อาจจะเปลี่ยนรสชาติของน้ำคร่ำได้ แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ศึกษาเกี่ยวกับการทานอาหารเผ็ดโดยตรงแล้วอาหารรสเผ็ดปลอดภัยสำหรับตัวคุณแม่หรือไม่?แม้ว่าอาหารเผ็ด🌶️จะไม่มีผลกับลูกน้อยในครรภ์ แต่คุณแม่อาจเกิดอาการเสียดท้อง ปวดท้องได้หลังรับประทานอาหารเผ็ด รวมถึงอาจมีอาการอาหารไม่ย่อยภายหลังการทาน ซึ่งหากคุณแม่ท่านใดที่ยังไม่ชินกับการทานเผ็ดให้เริ่มทานแบบเผ็ดน้อยก่อน และให้เตรียมน้ำ🌊ให้เพียงพอค่ะ<hr>การกินเผ็ดมีผลในแต่ละไตรมาสอย่างไร?ไตรมาสแรกในไตรมาสแรกการรับประทานอาหารรสเผ็ดอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดผลอะไรมากมาย แต่หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรง แล้วมีอาการไม่สบายตัวหรือคลื่นไส้ตลอดวัน การทานอาหารเผ็ดก็อาจทำให้แย่ลงก็ได้ค่ะ😔&nbsp;ไตรมาสสองและสามในไตรมาสที่สองและสาม การรับประทานอาหารเผ็ด🌶️จะทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ หรือที่เรียกว่า gastroesophageal (GERD) ซึ่งจริงๆแล้วแม้ว่าคุณแม่จะสามารถทานเผ็ดได้ตามต้องการโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะเป็นอันตราย แต่หากคุณไม่ยังไม่ชินกับความเผ็ดก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงข้างต้นได้จึงควรควบคุมความถี่และปริมาณให้เหมาะสมนะคะ&nbsp;

กินเผ็ดเป็นอันตรายกับลูกในครรภ์ไหมนะ?

ผู้ปกครองหลายๆท่านอาจจะกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าทำไมลูกถึงทานข้าวแต่ละมื้อได้ยากเย็นเหลือเกิน หลอกล่อแล้วหลอกล่ออีกกว่าจะทานหมดจาน สาเหตุที่ลูกน้อยทานอาหารนั้นมาจากอะไร และจะสามารถจัดการได้อย่างไรบ้าง เราไปดูกันดีกว่าค่ะ&nbsp;<hr>อาหารสำคัญไฉน<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2404/6b3bca9d-a48f-46da-8e18-de3230571da0.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">การทานข้าว🍲จะส่งเสริมให้ลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง และได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพื่อไปซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย&nbsp;<hr>สาเหตุที่ลูกไม่ยอมทานข้าว<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2404/3a27728d-878b-4acb-a2fc-4b9e4c60548b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨มีความเจ็บป่วยความเจ็บป่วยในที่นี้อาจหมายถึงทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยหากลูกให้เวลาในการกินนานมากไป หรือ ปฏิเสธอาหารบางประเภทอย่างชัดเจน หรือ ลูกดูเครียดเมื่อให้ทานอาหาร มีการกลืนไม่ลง สำลักอาหาร ท้องเสีย อาเจียน ก็ควรพาลูกไปพบแพทย์👩&zwj;⚕️เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะอาการอื่นๆที่สามารถสังเกตุได้คือ อาการหอบเหนื่อยระหว่างที่ลูกรับประทานอาหาร หรือ ลูกมีพัฒนาอื่นๆล่าช้า หรือมีการเจริญเติบโตที่ไม่สมวัยพร้อมกับมีปัญหาไม่ยอมทานข้าว😔 ก็จะต้องพาลูกไปตรวจเพิ่มเติมและหาทางแก้ไขกันต่อไปนะคะ🏥✨อาหารไม่ตรงความชอบ หรือ ไม่คุ้นเคยลูกอาจไม่ชอบอาหารนั้นๆ หรืออาจต้องการเวลาปรับตัวกับเมนูใหม่ ซึ่งลูกไม่ได้มีปัญหาทางด้านร่างกายหรือจิตใจ และจะเลือกกินจึงทำให้กินได้🤔เฉพาะบางอย่าง แต่หากลูกเลือกกินมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของลูกได้ค่ะ ซึ่งการเจริญเติบโตของลูกอาจจะต้องดูยีนที่ได้รับมาด้วย เช่น ลูกอาจจะตัวเล็กกว่าเพื่อนคนอื่นๆ หากยีนคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตัวเล็กเป็นต้นค่ะ✨เกิดจากความเข้าใจผิดข้อนี้เกิดจากความเข้าใจผิดของคุณพ่อคุณแม่ที่คิดว่าลูกกินน้อย ทั้งๆที่ปริมาณที่เขาทานมีความเหมาะสมกับการเจริญเติบโต เพียงแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ให้ปริมาณ🍲ลูกเยอะเกินไปนั่นเองค่ะ<hr>วิธีแก้ไขเมื่อลูกไม่ยอมทานข้าว<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2404/c425eaf9-680a-406c-9558-196019ec21bf.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ทานข้าวให้ตรงเวลาการทานข้าวนั้นควรลูกทานให้ตรงเวลา เพราะหากให้อาหารไม่ตรงเวลาอาจทำให้ร่างกายของลูกทำงานไม่เป็นเวลา เป็นผลให้เป็นโรคกระเพาะตามมาได้😔 รวมถึงหากลูกไม่ค่อยทานข้าว หรือ ทานได้น้อย อาจมีเหตุมาจากการที่ลูกทานอย่างอื่นจนอิ่มก่อนถึงมื้ออาหารหลักก็เป็นได้ค่ะดังนั้นลูกน้อยควรได้ทานมื้ออาหารหลัก🍲 3 เวลา คือ เช้า กลางวัน และเย็น โดยควรเว้นจากการให้อาหารว่างประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกมีเวลาย่อยและรู้สึกหิวเมื่อถึงมื้อหลัก✨ให้ของว่างอย่างพอดีไม่ควรให้ของว่างมากเกินไปเพราะลูกจะอิ่มก่อนถึงอาหารมื้อหลัก เป็นไปได้ควรให้ของว่างหลังอาหาร โดยให้ของว่างที่มีประโยชน์เช่น ผลไม้🍌 นมเปรี้ยว หรือขนมสำหรับเด็ก&nbsp;✨กำหนดเวลาในการกินที่แน่นอนเช่นกำหนดให้ลูกสามารถทานอาหารได้มื้อละไม่เกิน 30 นาที โดยให้บอกลูกล่วงหน้าว่าจะกินได้นานเท่าไหร่ และกินเวลาไหน โดยเมื่อครบเวลาให้บอกลูกว่าครบเวลาแล้ว แม่จะเก็บแล้วและลูกจะทานได้อีกทีตอนกี่โมง🕐 โดยหากลูกหิว สามารถให้อาหารว่างได้ (ตามเวลาที่กำหนด) หากไม่ใช่เวลาอาหารให้เบี่ยงเบนความสนใจของลูก โดยการทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพลางๆค่ะ✨กิจกรรมเคลื่อนไหวก่อนลูกจะเข้าชั้นประถมลูกควรมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างการวิ่งเล่น🏃 วันละประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกหิวมากขึ้น โดยไม่ควรให้ลูกเล่นมือถือ ไอแพต หรือดูทีวีนิ่งๆ&nbsp;เป็นยังไงบ้างคะกับวิธีรับมือเมื่อลูกไม่ยอมทานข้าว ไม่ยากเกินไปเลยใช่ไหมคะ เชื่อว่าหากลองวิธีต่างๆแล้วลูกจะต้องยอมทานมากขึ้นแน่ๆเลยค่ะ อย่าเพิ่งท้อกันไปนะคะ😊

ลูกไม่ยอมทานข้าวแก้ไขอย่างไรดี?

&nbsp;&nbsp; &nbsp;เมื่อเด็กอยู่ในช่วงวัยหัดพูด เขามักจะปฏิเสธการทำสิ่งต่างๆ ถ้าคุณแม่ยังฝืนคำว่าไม่ของเขา คงไม่ต้องสงสัยว่าเหตุการณ์ต่อมาจะเป็นยังไง ลูกก็จะตอบสนองด้วยการร้องไห้ลั่นบ้าน😭 หรืออาจจะลงไปนอนดิ้นกับพื้นเลยก็ได้ ดังนั้นบทความนี้ได้รวบรวมวิธีรับมือกับคำว่า “ไม่ๆๆๆ ไม่เอา”อย่างประนีประนอมที่สุดมาให้คุณแม่ทราบพร้อมๆกันแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>วิธีการรับมือเมื่อลูกปฏิเสธการทำสิ่งต่างๆอย่างประนีประนอม มีดังต่อไปนี้👉ดูว่าเราพูดอะไรกับลูกบ้างกลับมาถามตัวเองว่าเราพูดว่าไม่กับลูกกี่ครั้ง ไม่ได้แปลว่าคุณแม่ต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ลูกทำ แต่การใช้คำที่สร้างพฤติกรรมแง่ลบ เช่น อย่าทำ! หยุด! 🙅‍♀️ให้เปลี่ยนเป็น “เราอ่านนิทาน 2 เรื่องแล้ว เราไปนอนกันดีก่อนนะคะลูก แล้วอีกเรื่องหนึ่งไว้อ่านต่อพรุ่งนี้นะ แม่สัญญา เกี่ยวก้อยๆๆ”👌👉พยายามถามให้ลูกตอบความคิดเห็นถ้าถึงเวลานอน💤 แทนที่คุณแม่จะออกคำสั่งไปนอน เราถามความเห็นลูกว่าเขาอยากทำอะไรก่อน หนูจะใส่ชุดนอนหรือแปรงฟันก่อนดี ถ้าจะเก็บของเล่น ถามว่าเก็บรถหรือ เก็บตุ๊กตาก่อนดี เพราะสุดท้ายคือให้ทำกิจกรรมที่ควรจะทำอยู่ดี👉ให้ลูกเป็นผู้ช่วยคนเก่งหลายครั้งที่ลูกพูดว่าไม่ เพราะเขาไม่อยากทำในสิ่งที่คุณแม่บอก คุณแม่อาจจะลองพูดชมเชยเขาไว้ก่อนว่า “คนเก่งคนไหนจะช่วยแม่เอาของเล่นไปเก็บนะ...ไหนช่วยหน่อยสิคะ” พอลูกทำแล้วก็ปรบมือ👏ให้กำลังใจและชมว่าเขาเก่งมากๆ<hr>รวมไปถึงวิธีการรับมือเหล่านี้อีกด้วย👉น้ำเสียงต้องไปในทางบวกเด็กๆ เองก็คงไม่อยากให้ใครมาบังคับสั่งนู่นนี่ตลอดเวลา อย่าวิ่ง อย่ายืนบนเก้าอี้ ตำหนิว่าเขาอยู่ตลอด👆 แองจี้ ที.เครเนอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการพัฒนามนุษย์และครอบครัวบอกว่า “บอกให้เด็กๆ ทำอะไรดีกว่าสั่งห้าม พวกเขา แทนที่จะบอกว่าอย่าวิ่ง ให้พูดว่าเดินนะคะ น้ำเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก💯 พูดด้วยเสียงหนักแน่นมั่นคงให้เขาทำอะไร เขาจะเชื่อมากกว่าการตะโกน👉บอกเหตุผลกับเขาถึงเด็กๆ จะเอาแต่พูดว่าไม่กับร้องไห้โยเย😭 ปล่อยให้เขาร้องไปก่อน แต่ถ้าเขาเริ่มนิ่งเข้ามากอดคุณแม่ ก็ใช้โอกาสนั้น สอนเลยว่าที่เราไม่ให้เขาทำสิ่งนั้น เขาอาจไม่เข้าใจแต่ก็ยังเป็นโมเมนท์ ที่เขาเก็บไปคิดขึ้นมาว่าเพราะอะไรแม่ถึงไม่ให้เขาเล่นซนแบบนั้น👉ให้เขาลองทำตามลูกวัย 2-3 ขวบเป็นวัยที่ชอบทำตามผู้ใหญ่มาก ถ้าเราอยากให้เขาทำอะไร เราทำให้เขาดูก่อนแล้วชวนเขามาทำตาม อยากให้เขากินผลไม้🍒 เราก็ลองกินให้เขาดูก่อนแล้วทำท่าหวาน อร่อยมาก เด็กๆ น่าจะอยากชิมบ้าง👉เปลี่ยนอารมณ์ให้สนุกไปด้วยกันลองดูเวลาที่ลูกกำลังเล่นของเล่นเพลินๆ แล้วคุณแม่บอกว่าไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ เด็กจะตอบทันที ว่าไม่เอา! แล้วร้องไห้เลย ดังนั้นให้คุณแม่ค่อยๆ หันเหความสนใจชวนไปเล่นน้องเป็ด🦆น้อยในห้องน้ำ แล้วคุณแม่ก็เล่านิทานเป็ดน้อย หรือหาอะไรสนุกๆ มาเล่นไม่ให้การอาบน้ำเป็นเวลาที่น่าเบื่อ&nbsp; &nbsp; &nbsp;การเถียงกับพ่อแม่และปฏิเสธด้วยคำว่า "ไม่ ไม่เอา" จะเกิดขึ้นในเด็ก👶วัย 2-3 ขวบ มากถึง 20-25 ครั้งต่อชั่วโมง เพราะเด็กๆ ในอายุขนาดนี้รู้ว่าเขามีตัวตน และการเถียงกับคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นวิธีเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้นั่นเองค่ะ การพูดว่าไม่เลยเป็นอีกวิธีที่เขาจะรู้สึกว่าควบคุมอะไรในบ้านได้บ้าง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสอนให้เขารู้สึกว่าโลกนี้กว้างใหญ่และเขารู้สึกว่าต้องพึ่งพาคนอื่นๆ ควรระวังเรื่องคำพูดให้มากขึ้นนะคะ

วิธีรับมือเมื่อลูกชอบปฎิเสธ "ไม่ ไม่เอา" จนทำให้คุณแม่เสียใจ

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณพ่อคุณแม่ต่างก็ดีใจเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยเริ่มหัดทรงตัวได้ แบบไม่โอนเอนและไม่ล้ม เย้~ ในที่สุดลูกก็สามารถจะประคองตัวเองนั่งโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยประคองเพราะกลัวว่าลูกจะเอนจนล้มแล้ว แต่อย่างไรก็ตามโปรดดูให้ดีก่อนว่าเจ้าตัวน้อยกำลังนั่งในท่านั่ง W Sitting อยู่หรือเปล่า เพราะท่านี้อันตรายต่อลูกมากกว่าที่คุณแม่คิด เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>ท่านั่ง W Sitting คืออะไร?👉ท่านั่ง W Sitting หรือ “นั่งท่าเป็ด”คือท่านั่งที่ลูกเอาก้นลงกับพื้น แต่งอเข่า และขาข้างซ้ายและข้างขวาแบะออกข้าง ๆ ลักษณะคล้ายกับตัว W 🧎‍♀️ซึ่งท่านั่งนี้พบได้บ่อยในเด็ก ๆ เนื่องจากเวลาที่เด็กนั่งในท่านั่ง W Sitting จะดูเหมือนว่าลูกนั่งได้มั่นคงขึ้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยประคองตลอดเวลาเพราะกลัวว่าลูกจะเซและล้ม แต่การนั่ง W Sitting นี้ ควรนั่งเป็นครั้งคราว นาน ๆ นั่งที หรือนั่งแล้วก็เปลี่ยนท่านั่ง นั่งแล้วก็ลุกออกไปทำอย่างอื่น จึงจะถือว่าไม่อันตราย และไม่ส่งผลเสียใด ๆ ค่ะ&nbsp;<hr>ผลเสียของการนั่งท่านั่ง W Sitting&nbsp;<h2 dir="ltr">👉จะทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวที่อิสระลดลง</h2>เนื่องจากท่านี้จะไปจำกัดการเคลื่อนไหวไปทางซ้ายขวา เพราะปกติแล้วหากอยู่ในท่านั่งปกติ เช่น ท่าขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ แม้ของจะอยู่ทางซ้าย แต่ลูกก็อาจจะเอื้อมไปหยิบด้วยมือขวาได้ อย่างไรก็ตาม ท่านั่ง W Sitiing นั้น ทารกไม่สามารถใช้มืออีกข้างเอื้อมหยิบของได้อย่างถนัด ทำให้เด็กเอื้อมมือไปหยิบสิ่งต่าง ๆ ที่ไกลตัวได้ยาก ถ้าเด็กนั่งในท่านี้เป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ โดยไม่ยอมเปลี่ยนไปนั่งในท่าอื่น ๆ บ้างเลย กรณีเช่นนี้ถือว่าค่อนข้างน่าเป็นกังวลค่ะ😰 เพราะทั้งแพทย์และผู้เชี่ยวชาญต่างก็มองว่าจะมทำให้เด็กเกิดปัญหา ดังนี้- ท่านั่ง W Sitting เป็นท่านั่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางออร์โธปิดิกส์ หรือการผิดรูปของกระดูก🩻 ข้อ และเอ็น&nbsp;- เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเอ็นไขว้หน้า (Anterior Cruciate Ligament หรือ ACL) ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นเอ็นหลักบริเวณหัวเข่า🧎‍♀️ ช่วยให้ข้อเข่าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคง การนั่งในท่า W นาน ๆ อาจทำให้เอ็นไขว้หน้าเสียหาย บาดเจ็บ หรืออักเสบได้&nbsp;- หากเด็กนั่งในท่า W ติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้ขาอ่อนแรงได้ เพราะต้องรองรับการทรงตัวโดยไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ&nbsp;- เสี่ยงที่จะทำให้สะโพกเคลื่อน หรือผิดรูป เนื่องจากเป็นท่านั่งที่ทำให้สะโพกถูกดันออกจากเบ้าสะโพก&nbsp;- เมื่อนั่งในท่านั่ง W เป็นเวลานาน ๆ เสี่ยงที่จะทำให้กล้ามเนื้อขา🦵และสะโพกตึงได้ เพราะกล้ามเนื้อไม่เกิดการเคลื่อนไหวตามปกติที่ควรจะเป็น&nbsp;- ท่านั่ง W Sitting อาจขัดขวางพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวอื่น ๆ เช่น การเอื้อม หรือการเคลื่อนไหวไปทางซ้ายและทางขวา เพราะท่านั่งไม่ส่งเสริมให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ&nbsp;✨วิธีปรับพฤติกรรมหากพบว่าลูกชอบนั่งท่า W Sittingหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นแล้วว่า ลูกของเรานั้นชอบนั่งในท่านนั่ง W บ่อย ๆ ควรเร่งปรับพฤติกรรมของลูกทันที โดยสามารถทำได้ ดังนี้<ul><li dir="ltr">หากพบว่าลูกกำลังนั่งท่า W ให้บอกหรือเตือนลูกดี ๆ เพื่อเปลี่ยนนั่งท่าใหม่ โดยไม่ดุ🤫 หรือขึ้นเสียง แต่พูดโดยไม่ให้เด็กรู้สึกแย่ เช่น ลูกจ๋า ลองนั่งท่านี้ดูไหม บ่อยเข้าเด็กก็จะเริ่มจดจำไปเองว่าควรนั่งในท่าใด</li><li dir="ltr">พยายามนั่งเล่นกับลูกบ่อย ๆ แล้วนั่งให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง โดยอาจจะนั่งในท่าที่เหยียดขาไปด้านหน้า นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบ🧘‍♂️</li><li dir="ltr">เข้าไปนั่งเล่นกับลูก พยายามให้ลูกได้มีการเปลี่ยนท่าทาง และเคลื่อนไหว เช่น ให้ลูกเอื้อมหยิบของที่อยู่ไกลตัวบ้าง หรืออยู่สูงบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ออกแรงใช้กล้ามเนื้อมากขึ้น</li><li dir="ltr">ให้ลูกได้นั่งเก้าอี้ หรือโซฟาของเด็กดูบ้าง เพื่อเปลี่ยนอริยาบถการนั่งใหม่ ๆ ทั้งยังช่วยผ่อนคลายไม่ให้ขารับน้ำหนักจากการนั่งท่าเดิมนาน ๆ</li></ul>&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบกันแล้วใช่ไหมคะถึงผลเสียของการนั่งท่า W Sitting เป็นเวลานาน ดังนั้นคุณแม่ควรหมั่นสังเกต👀และคอยบอกลูกให้นั่งได้เป็นครั้งคราว นาน ๆ นั่งที หรือนั่งแล้วก็เปลี่ยนท่านั่ง นั่งแล้วก็ลุกออกไปทำอย่างอื่นบ้างค่ะ

อันตรายจากท่านั่ง W sitting ส่งผลต่อกระดูกของลูก!

&nbsp; &nbsp; &nbsp;เมื่อลูกสาวเริ่มโตเป็นสาว👧 สรีระทางร่างกายที่เปลี่ยนแปลงและเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด คือ หน้าอก คุณแม่ควรเข้ามาดูแลและช่วยลูกสาวซื้อชุดชั้นในในครั้งแรก วันนี้ทางเราได้รวบรวมเทคนิคการเลือกซื้อชุดชั้นในให้เหมาะกับสรีระของลูกคุณแม่มาให้ทราบค่ะ💁&zwj;♀️<hr>6 ทรงของชุดชั้นในผู้หญิง<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/0aff5a6f-d30b-41d3-bf3d-3c6485b2d44f.webp" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">✨ทรงลูกแพร์สำหรับลูกสาวที่มีบริเวณเนินหน้าอกกว้าง ควรสวมใส่ชุดชั้นในทรงลูกแพร์🍐 เพราะชุดชั้นในทรงนี้สามารถช่วยป้องกันการหย่อนคล้อยของหน้าอกได้ดี✨ทรงสับปะรดชุดชั้นในทรงสับปะรด🍍เหมาะสำหรับลูกสาวที่มีลักษณะหน้าอกค่อนข้างใหญ่และมีเนื้อบริเวณเนินอกจำนวนมาก เพราะชุดชั้นในทรงสับปะรดจะช่วยเก็บทรงได้ดี และควรเป็นทรงสับปะรดที่ไม่มีฟองน้ำด้วย✨ทรงสตรอว์เบอร์รี่ชุดชั้นในทรงสตรอว์เบอร์รี่🍓เหมาะสำหรับลูกสาวที่มีหน้าอกเล็กและบริเวณหน้าอกที่ไม่กว้าง การเลือกซื้อชุดชั้นในทรงนี้จะทำให้ลูกสาวใส่ออกมาได้สวยและดูเหมาะสมกับสรีระ✨ทรงแอปเปิ้ลเขียวสำหรับลูกสาวที่มีลักษณะเนินอกค่อนข้างสวยและได้รูป การเลือกใช้ชุดชั้นในทรงแอปเปิ้ลเขียว🍏ถือว่าเป็นทรงของชุดชั้นในที่เหมาะสมมากที่สุด✨ทรงเลมอนสำหรับลูกสาวที่มีลักษณะทรงหน้าอกที่ไม่ค่อยกระชับ สามารถเลือกหาชุดชั้นในทรงเลมอน🍋มาใส่ได้ การใส่ชุดชั้นในทรงนี้จะเป็นการช่วยให้เนินอกดูกระชับมากยิ่งขึ้นนั่นเอง✨ทรงเชอร์รี่ลูกสาวที่มีลักษณะเนินอกค่อนข้างเล็กและมีเนื้อบริเวณหน้าอกไม่มาก ลักษณะคล้ายๆผลเชอร์รี่🍒 จะเหมาะกับชุดชั้นในทรงเชอร์รี่มากที่สุด<hr>เทคนิคในการเลือกซื้อชุดชั้นใน มีดังต่อไปนี้<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/08bc32f1-c897-441c-8bdb-5ecdda181cd5.webp" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">👉เลือกขนาดชุดชั้นในที่พอดีตัวคุณแม่ควรแนะนำให้ลูกสาววัดขนาดรูปร่างของตนเองให้ดีก่อนทำการซื้อชุดชั้นใน👙 ทั้งขนาดรอบตัวและขนาดรอบอก เพราะการได้ใส่ชุดชั้นในที่มีขนาดพอดีตัวจะทำให้เนินอกมีลักษณะสวยงามและไม่หย่อนคล้อย👉เลือกรูปทรงให้เหมาะสมกับร่างกายคุณแม่ควรแนะนำให้ลูกสาวเลือกซื้อชุดชั้นในทรงที่เหมาะกับสรีระร่างกาย ไม่ควรซื้อตามเทรนด์แฟชั่นหรือทรงที่เห็นคนอื่นใส่แล้วสวย เพราะรูปร่างสรีระของคนเราไม่เหมือนกัน การใส่ชุดชั้นในทรงที่ไม่เหมาะสมกับสรีระอาจจะทำให้เกิดความอึดอัด🤢ขณะใส่ได้👉เลือกยี่ห้อที่มีมาตรฐานอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณแม่ควรแนะนำให้ลูกๆพิจารณาก่อนทำการซื้อชุดชั้นใน คือ คุณภาพของชุดชั้นใน ควรเลือกซื้อชุดชั้นในที่มีคุณภาพดี💯 เนื้อผ้าใส่สบาย และมีการตัดเย็บที่ปราณีต จึงจะทำให้สวมใส่ได้อย่างกระชับนั่นเอง👉เลือกราคาที่เหมาะสมราคาถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณแม่และลูกสาวควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อชุดชั้นใน ควรเลือกชุดชั้นในที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา🏷️ และไม่ควรซื้อชุดชั้นในที่มีราคาแพงจนเกินไปจนอาจทำให้กระเป๋าตังค์แฟ่บ👉ลองสวมดูก่อนตัดสินใจซื้อ&nbsp;ก่อนซื้อชุดชั้นในทุกครั้งคุณแม่ควรบอกให้ลูกลองชุดชั้นในดูก่อนทุกครั้ง เพราะชุดชั้นในแต่ละรุ่นและแต่ละยี่ห้อจะมีไซส์ที่แตกต่างกันออกไป เมื่อได้ลองสินค้าก่อนลูกก็จะได้รู้ว่าชุดชั้นในนั้นมีขนาดที่พอดีกับตัวหรือไม่ ในขณะใส่นั้นมีความรู้สึกอึดอัดบ้างไหม ก็จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น✅&nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปก็คือคุณแม่ควรแนะนำลูกสาวให้เลือกซื้อชุดชั้นใน👙ที่เหมาะสมกับสรีระตนเองมากที่สุด จะเป็นชุดชั้นในที่ใส่แล้วรู้สึกหน้าอก ไม่มีอาการเจ็บปวดขณะสวมใส่ และยังไม่ทำให้หน้าอกหย่อนคล้อย เพราะการเลือกชุดชั้นในที่เหมาะสมกับตัวเองนั้นเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและสรีระของผู้หญิงเป็นอย่างมาก

เทคนิคช่วยลูกสาวเลือกซื้อชุดชั้นในครั้งแรก

혹시 시판 이유식 추천 받고싶어서요
저희 아기는 돌 지나고 12개월인데요
제가 둘째 생겨서 입덧으로 고생하고있어요
이유식 만들어주려고해도 속에서 다 올라와서
시판 이유식 써보려고 하는데 추천 부탁드립니다^^

시판이유식 추천 좀 부탁드립니다^^

여러업체 먹여봤는데 뭐 역대급으로 잘먹는다 이런건 없었어요ㅠㅠ 네이버나 쿠팡 등등 단품으로도 있고 하루나 이틀치 세트도 파니까 업체별로 돌아가면서 먹여보세요!!
하나 안먹는다고 그업체 안먹는게아니라 그 맛의 이유식이 안맞을수도있더라구요!

저는 여러가지 일주일씩 혹은 체험팩 먹여봤는데 클레랑 베이비본죽이 가장 아기가 좋아했어요!  지금은 클레 무른밥 먹고 있는데 다음 단계로 루솔 영양밥도 박람회갔다가 두팩사서 먹여봤는데 밥알갱이 사이즈가 괜찮길래  다음단계루 먹여보려고해요 보시고 원하시는걸로 주문해보셔요 입덧..화이팅입니다

산골이유식이요~전 후기에 알게되면소 시판을 처음으로 완료기로 먹이고 일반식하려는데. 마미들 반응도 좋고 저희 아가도 잘먹더라구요~ 검색해보셔요^^

배냇밀 산골 푸드케어 루솔 로하스밀 짱죽 먹여봤는데 지금은 루솔로 쭉 먹이고있어요. 업체마다 메뉴마다 호불호가 있을수 있으니 일단 업체별로 체험분 신청해서 먹여보세요!
참고로 저희애는 뭐든 잘 안먹는애라.. 루솔이 다른데 비해 조금 저렴한편이어서 정착했어요. 시판먹이니 비용도 무시못하겠더라구요ㅠㅠ

맘마찬이요~ 동네에 있는지 한번 검색해 보세요! 10개월까지 만들어 먹이다가 힘들어서 몇개만 주문해서 먹여봤는데 잘먹어서 패키지 했다가 이제 유아 반찬도 먹입니다! 당일생산으로 그날 배달도 가능 픽업도 가능해서 좋아요! 

아이한끼 정착했어요 ㅎㅎ
택배배송 해주는데 아이주도부터 무염유아식도 꽤 많아서 유아식 도입하기 좋더라구요

둥이라 이유식값도 만만치 않아서 핫딜뜨는걸로 사는데 루솔이나 엘빈즈가 자주 떠서 그걸로 먹이고 외출할땐 맘마밀 파우치 먹여용ㅋ

시판이유식보다 유아반찬가게있으심 유아찬시작해보는게 좋을듯해요

푸드케어 클레 추천해요!!
유리병이라 환경호르몬 걱정 없고 원하는 날에 문앞배송되구요 애기가 좋아해여 맛있나봐요

https://m.blog.naver.com/ehenn306/223300968010
시판이유식 비교해봤어요:) 참고해보세요

저는 루솔 빼고 다 시켜서 먹어봤는데 클레와 베이비본죽 제일 잘 먹더라구요^^ 그래서 클레로 추가로 더 먹이고 베이비본죽은 외출용으로 먹였어요 ㅎ 제 개인적으로 맛을 봤을 때는 클레가 제일 괜찮았어요. 

เมื่อคุณแม่ท้องแล้วมีน้ำหนักเกินกำหนด ก็จะทำให้ลูกในครรภ์มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ซึ่งแม้ว่าจะอยากอาหาร แต่ก็ต้องคอยระวังว่าอาหารที่ทานนั้นมีไขมันสูงหรือเปล่า เพราะการที่น้ำหนักเยอะเกินกำหนดขณะตั้งครรภ์จะส่งผลเสียต่อลูกในครรภ์ในระยะยาวเลยล่ะค่ะ<hr>ท้องอ้วนมีผลอย่างไรต่อทารกในครรภ์คุณแม่อ้วน ลูกเสี่ยงโรคศาสตราจารย์ ไมเคิล สกิลตัน👨‍🔬 ได้กล่าวไว้ว่าการที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้ลูกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ🫀 รวมถึงยังเสี่ยงเป็นโรคอาหาร โภชนาการในระยะยาวอีกด้วย ซึ่ง นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยซิดนีย์ยังชี้ว่าคุณแม่ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือ ท้องอ้วนจะส่งผลต่อสุขภาพของลูก👶ที่อยู่ในครรภ์ในไปจนถึงอนาคต ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงนั้นจะเป็นการไปเริ่งกระบวนการอายุของทารกในครรภ์ จึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคนั่นเองไขมันอิ่มตัว กับอายุของลูกซึ่งมีงานวิจัยจากทีมศาสตราจารย์ ไมเคิล สกิลตัน ยังมีการสอบถามคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ โดยใช้แบบสอบถามเรื่องอาหารและ ยังดูผลเลือด🩸ของคุณแม่ และ ตัวอย่างน้ำลายจากทารกที่เพิ่งคลอด ซึ่งพบว่าคุณแม่ที่ท้องอ้วนนั้นไขมันอิ่มตัวจะมีความเกี่ยวโยงของอายุของลูก โดยยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็งอีกด้วย😥ซึ่งการใช้ชีวิตของคุณแม่และอาหารที่คุณแม่ทานเข้าไปมีผลกระทบต่อลูกน้อยใจครรภ์โดยตรงดังนั้น พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตได้อย่างมีสุขภาพดีค่ะ&nbsp;<hr>ควรทานอย่างไร จึงจะไม่อ้วนระหว่างตั้งครรภ์รับประทานเป็นมื้อย่อยๆ 5-6 มื้อ/วันเมื่อคุณแม่เข้าสู่การตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบว่าตัวเองหิวบ่อยขึ้น ซึ่งคุณแม่สามารถแบ่งมื้ออาหาร🍲ออกเป็น 5-6 มื้อระหว่างวัน แต่ควรลดปริมาณลงให้พอดีต่อมื้อ โดยอาจมีบางมื้อเป็นของว่าง เช่น โยเกิร์ต ผลไม้ ลูกพรุน ถั่ว ลูกเกด เป็นต้นทานผักผัก🥬เป็นอาหารที่มีประโยชน์ทางโภชนาการสูง โดยในผักจะมีกากใยที่ช่วยป้องกันการท้องผูกและทำให้คุณแม่เข้าห้องน้ำได้อย่างสบายตัว และยังมีแคลอรี่ต่ำ จึงเป็นอาหารแนะนำสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่นะคะเลือกทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันติดน้อยเนื้อสัตว์🥩สามารถช่วยป้องกันคุณแม่จากโรคโลหิตจากได้ เนื่องจากว่าในเนื้อสัตวน์นั้นมีธาตุเหล็กสูง แต่อย่างไรก็ตามคุณแม่ก็ควรเลือกทานเนื้อสัตว์ในส่วนที่มีไขมันน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของไขมัน และไม่ให้อ้วนขณะที่ตั้งครรภ์นั่นเองค่ะทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงอาหารทอดพยายามทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม โดยเลือกอาหารที่มีประโยชน์และทานให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงควรเลี่ยงการทานอาหารทอด และเปลี่ยนมาเน้นทานอาหารที่ใช้วิธีต้ม หรือ นี่งแทน รวมถึงพยายามเลี่ยงทานอาหารที่มีความหวานมาก คุมแป้ง🍞 น้ำตาล และเลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ&nbsp;

คุณแม่อ้วนระหว่างตั้งครรภ์ มีผลเสียอย่างไร!?

เชื่อว่าคุณผู้อ่านส่วนใหญ่ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่นั้น เป็นท่านที่ต้องการที่จะมีเจ้าตัวน้อย แต่คุณผู้อ่านมั่นใจหรือไม่คะ ว่าตนเองใช้ชีวิตเพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นคุณพ่อและคุณแม่อย่างเหมาะสมแล้ว มีโอกาสทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อการเตรียมตัวมีเจ้าตัวน้อยหรือเปล่า บทความนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านได้สังเกตและประเมินไลฟ์สไตล์ของตนเองค่ะ<hr>พฤติกรรมเหล่านี้ มีบุตรยาก!<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4184/148b7a5c-cdbb-4b8a-aee2-1cf02425dd8c.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ไม่ควบคุมน้ำหนักเป็นที่ทราบกันดีว่า การไม่ควบคุมน้ำหนักนั้น ทำให้ร่างกายของคุณผู้อ่านนั้นมีน้ำหนักที่ต่ำกว่าเกณฑ์หรือสูงกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม และเราต่างรู้กันว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุมอาหารไม่ได้ก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาจเป็นอาหาร🍲ที่มีประโยชน์แต่กินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนักคือการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเพียงไม่กี่วัน และไม่ได้ทำเป็นประจำนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ซ้ำร้ายยังอาจสร้างความบาดเจ็บให้ร่างกายได้อีกด้วยค่ะอารมณ์ไม่ดีบ่อยๆคำว่าอารมณ์ไม่ดีในที่นี้มีหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เครียด วิตกกังวล เศร้า โมโห😡 เบื่อหน่าย แน่นอนว่าอารมณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งเร้าภายนอก แต่ก็เป็นผลจากฮอร์โมนภายในร่างกายด้วยเช่นกัน นอกจากฮอร์โมนในร่างกายจะส่งผลให้เกิดอารมณดังกล่าวแล้ว อารมณ์ต่างๆตามที่กล่าวไปก็ส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติด้วยเช่นกัน เป็นวงจรที่กระทบกันเรื่อยๆ ซึ่งการที่ฮอร์โมนในร่างกายขาดสมดุล ก็จะส่งผลให้ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายมีเจ้าตัวน้อยยากขึ้นด้วยเช่นกัน<hr>พฤติกรรมเหล่านี้ มีบุตรยาก!<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4184/1f6c990e-d2c8-4c0c-a7a5-394e09ca35b3.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ใช้สารเสพติดสารเสพติดในที่นี้หมายถึงทั้งสารเสพติดที่ถูกกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ กัญชา และสารเสพติดที่ผิดกฎหมาย รวมไปถึงคาเฟอีนด้วย แม้ว่าคาเฟอีนจากกาแฟ☕จะไม่ถูกบัญญัติว่าเป็นสารเสพติดก็ตาม แต่หากผู้ดื่มต้องดื่มเป็นประจำ ดื่มในปริมาณหรือความเข้มข้นมากๆต่อวัน และไม่สามรถดื่มง่ายๆ ก็ไม่ต่างจากการใช้สิ่งที่ถูกบัญญัติว่าเป็นสารเสพติด เนื่องจากการใชเสารเหล่านี้ส่งผลต่ออารมณ์และฮอร์โมนในร่างกายของผู้อุปโภคบริโภคโดยตรง จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้มีบุตรยากค่ะการได้รับสารเคมีที่มากไปสารเคมีที่มาจากการสังเคราะห์หรือมาจากธรรมชาติก็ตาม หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ล้วนเป็นผลแย่ต่อร่างกายของเราทุกคนค่ะ ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้สารต่างๆตอบตัวทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่หากสารเหล่านั้นสะสมในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจก่อโรคในร่างกายของผู้รับได้ ถึงแม้จะไม่ก่อโรคในผู้รับสารเคมีโดยตรง แต่หากวางแผนจะมีลูก👶 สารเคมีเหล่านั้นสามารถส่งผลเสียต่อเจ้าตัวน้อยได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นสิ่งที่เราทุกคน ทั้งคนที่วางแผนจะมีลูกหรือไม่ได้วางแผนก็ตาม ควรตระหนักและหลีกเลี่ยง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามได้ง่ายเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เรามาพยายามสังเกตและประเมินตนเอง ให้หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆตามหัวข้อที่กล่าวมาข้างต้นไปด้วยกันนะคะ

พฤติกรรมเหล่านี้ มีบุตรยาก!

อาการเจ็บครรภ์เตือนและอาการเจ็บครรภ์จริงมีสาเหตุมาจากอะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงเราจะมาบอกถึงวิธีการดูแลตนเองเมื่อมีอาการท้องแข็งกันด้วยค่ะ จะต้องทำอย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>สาเหตุของการเจ็บครรภ์จริงทำไมจึงเกิดอาการเจ็บครรภ์จริงอาการเจ็บท้องจริง🤰 เกิดจากการบีบตัวของมดลูก เป็นสัญญาณว่าพร้อมสำหรับการคลอดแล้ว แต่อาการอาจจะแตกต่างออกไปแล้วแตาคน โดยอาการเจ็บท้องมักจะมีอาการปวดตื้อๆบริเวณท้องส่วนล่างและหลัง โดยบางคนก็จะมีอาการปวดบริเวณข้างลำตัวรวมถึงต้นขา🦵 จะมีอาการคล้ายปวดคล้ายท้องเสียหรือประจำเดือนแต่รุนแรงกว่า โดยจะมีอาการปวดอย่างสม่ำเสมอและจะค่อยๆเพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้น&nbsp;อาการของการเจ็บครรภ์จริง&nbsp;เพื่อเข้าสู่ระยะคลอด มดลูกจะหดรัดตัวและจะเกิดอาการปวดหลังบริเวณบั้นเอว🤰จนถึงหน้าท้อง ซึ่งความถี่ของอาการเจ็บจะค่อยๆถี่ขึ้นเรื่อยๆ และมีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงค่อยๆเจ็บท้องนานขึ้นด้วยเช่น 15-20 วินาที เป็นเจ็บนาน 40-50 วินาที และอาจมีมูกปนเลือดไหล🩸ออกจากช่องคลอด &nbsp;โดยหากเจ็บครรภ์จริงอาการเจ็บจะไม่หายไปและจะเจ็บเรื่อยๆ ดังนั้นควรจะไปโรงพยาบาลทันทีค่ะ&nbsp;<hr>อาการของการเจ็บครรภ์เตือนอาการของการเจ็บครรภ์เตือนนั้น คือ...✨จะมีการเจ็บที่เกิดขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ🤨✨จะปวดแค่บริเวณท้องน้อย✨ความรุนแรงของอาการเจ็บครรภ์จะประมาณเดิมและไม่ได้รุนแรงขึ้น✨จะมีความเจ็บท้องที่ไม่รุนแรงมาก✨ความถี่ของการเจ็บเตือนจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 นาที✨ไม่มีมูกปนเลือดไหล🩸ออกจากช่องคลอด✨ไม่มีการขยายของปากมดลูก✨หลังจากทานยาแก้ปวดหรือนอนพักอาการเจ็บครรภ์เตือนจะทุเลาลงหรือหายไปเอง<hr>วิธีรับมือเมื่อเกิดอาการท้องแข็ง&nbsp;อย่างแรกคือ...เมื่อเกิดอาการเจ็บครรภ์🤰 หรือท้องแข็ง คุณแม่ควรนอนหรือนั่งพักอยู่เฉยๆ ในช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งระหว่างที่นอนหรือนั่งพักก็ควรจะสังเกตุว่าเป็นลักษณะอาการของการเจ็บครรภ์เตือนหรือเจ็บครรภ์จริง โดยหลังจากนอนพัก หรือทานยาแก้ปวด💊แล้วก็ยังมีอาการเจ็บท้องนานขึ้น ถี่ขึ้น และรุนแรงขึ้น คุณแม่ควรจะรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดค่ะ&nbsp;ดูว่ามีลักษณะอาการอื่นๆด้วยหรือไม่โดยเราสามารถดูว่ามีลักษณะการดิ้นของทารกที่น้อยลง หรือ มีน้ำเดินหรือไม่ เพราะหากมีอาการเหล่านี้ก็ควรไปโรงพยาบาล🏥ทันทีเช่นกัน โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการท้องแข็งค่ะ&nbsp;ทราบอย่างนี้แล้วถ้าหากอาการเจ็บครรภ์ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆและไม่มีวี่แววจะทุเลาลงก็ให้ไปโรงพยาบาลทันทีเลยนะคะ&nbsp;

จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ็บครรภ์เตือนหรือเจ็บครรภ์จริง?

탈수, 수족구, 장염이 자주 발생하는 아이의 엄빠라면 집중✨! 아이가 구토, 설사 등의 증상으로 인해 또는 밥도 잘 먹지 못해서 탈수가 오기 쉬운데요. 이때 수분 섭취를 도와 탈수를 예방해 주어야 해요. 전 세계 소아의 가장 많은 사망 원인 중 하나인 탈수💦는 빠른 대처가 필수이기 때문에 집에서도 활용할 수 있는 경구수액요법치료를 알아두시는 것이 좋아요. 그렇다면 경구수액요법은 무엇이고 경구수액은 어떻게 만들어야 하는지, 오늘 빌리가 모두 알려드릴게요🤗!<hr>경구수액요법이란?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/b2298769-b004-4bb5-8398-3b5b991dcf7b.webp">수액치료의 종류는 한 가지가 아니에요.수액치료라고 하면 대부분의 엄빠님들은 주사로 맞는 링거💉를 떠올리실 거예요. 하지만 수액치료란 링거뿐만 아니라 우리 몸에 부족한 물과 전해질을 보충해 주는 모든 치료를 말해요. 주사 수액치료는 작은 아이가 맞고 유지하기에는 매우 힘들어요😟. 그럴 때는 물 대신 경구수액를 마시는 경구수액요법을 활용할 수 있어요. 이 요법은 맹물이나 음료수를 마시는 것보다도 좋은 치료 효과를 가져올 수 있으며 집에서도 직접 경구수액를 만들어 사용할 수 있답니다👍.<hr>경구수액요법의 장점<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/37f1ab22-20f3-415c-ba90-56a02c462b30.webp">치료제 만들기 가능!경구수액요법의 가장 큰 장점💓은 집에서도 직접 수액을 만들 수 있다는 점이에요. 세계보건기구 WHO에서 제시한 성분에 대한 기준을 맞춰주시기만 하면 치료에 효과가 있는 수액을 만들 수 있어요. 탈수에 좋다는 이온음료를 확인해 보면 경구수액에 비해 당분이 높고⬆️ 전해질이 낮다⬇️는 것을 확인할 수 있는데요. 이런 음료를 많이 섭취하게 되면 오히려 삼투성 설사가 발생할 수 있어요. 그래서 집에서 만든 경구수액을 먹여주는 것이 훨씬 좋답니다. 또 다른 장점은 제품을 직접 사는 것보다 훨씬 저렴한 가격에 수액을 제작할 수 있으며, 집에서 수액을 만들기 때문에 병원에서 치료를 기다리는 것보다 빠른 대처가 가능하다는 것이에요.<hr>경구수액을 만드는 방법<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/b28926d2-a942-47ba-ba34-0d593c7ad641.webp">간단한 준비물~💧경구수액을 만들기 위한 준비물경구수액을 만들기 위해서는 깨끗한 물과 설탕, 소금 그리고 계랑 스푼🥄과 함께 레몬을 준비해 주세요. 계랑 스푼이 없다면 티스푼을 활용하셔도 괜찮아요. 그리고 만약 아직 수유를 하고 있는 어린아이에게 먹일 예정이라면 물을 준비할 때 끓였다가🔥 식힌 물로 준비해 주세요.💧경구수액 만들기깨끗한 물 1L와 함께 계랑 스푼을 준비해 주세요. 경구 수액을 만들 때는 계랑 스푼의 작은 쪽을 이용해 주실 건데요. 1L의 물에 설탕 8 작은 스푼과 소금 1 작은 스푼을 모두 넣고 잘 섞어서 완전히 녹여주시면 완성이에요. 아주 간단하죠😆? 그런데 이렇게 만든 경구수액의 맛은 아이들이 먹기에는 힘들 수 있어요. 여기에 레몬🍋 반 개 정도를 쭉 짜주신다면 아이도 먹기 편한 경구수액이 만들어진답니다.<hr>경구수액을 먹이는 방법<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/4e4e7239-894e-4018-83b5-ebd95c467332.webp">5분마다 두 숟가락 먹이기!💧수유 중인 아이수유를 하는 아이들은 분유🍼나 모유로 탈수 교정을 하는 것이 이상적이에요. 그러나 만약 분유나 모유를 잘 소화하지 못해 구토를 하거나, 수유를 했는데도 탈수가 지속된다면 그때는 경구수액을 먹이시는 것이 좋아요. 경구수액도 한 번에 많은 양을 먹이면 다시 토할 수 있으니 한번 먹일 때 5ml 정도씩 먹여주세요. 아이의 이유식 숟가락으로 두 번✌️ 정도 먹여주시면 5ml를 쉽게 먹이실 수 있어요.💧설사를 하는 아이보통 구토🤮나 설사💩와 같은 증상이 없는 경우에는 아이 몸무게 x 50ml만큼의 수액을 4시간에 걸쳐 먹여주시면 되는데, 설사까지 한다면 설사를 한 번 할 때마다 몸무게 x 10ml만큼의 수액을 추가로 먹여주셔야 해요. 설사를 한다면 그만큼 탈수 증상이 더 발생할 수 있기 때문이죠.<hr>칼륨까지 보충해 주는 방법<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/6393a561-8a20-45a6-a35c-5aec36e46ca5.webp">칼륨 보충까지 완벽하게!아이들이 탈수와 같은 증상이 발생했을 때는 나트륨뿐만 아니라 칼륨도 모자랄 수 있는데요. 이를 위해서 경구수액과 함께 오렌지 주스🍊, 바나나 주스🍌와 같은 어린이용 과일주스를 먹여서 칼륨을 보충해 주시는 것이 좋아요. 경구수액에 섞어서 제공해 주셔도 좋고 경구수액을 먹인 후에 제공해 주셔도 좋아요.<hr>오늘은 경구수액을 직접 만들어 먹이는 경구수액요법에 대해 알아보았어요💡. 병원에 가지 않고도 쉽게 만들 수 있기 때문에 아이가 아플 때 활용해 주시면 정말 좋아요. 오늘 배운 방법으로 만든 경구수액은 아이가 아플 때뿐만 아니라 엄빠가 아플 때도, 땀이 많이 나거나 운동을 하고 난 후에 먹어도 좋으니 다양하게 활용해 주세요🥰. <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/H-W970ZlIk4?&wmode=opaque" frameborder="0" allowfullscreen="" class="fr-draggable"></iframe>출처: 산소형제TV

탈수, 장염, 수족구 치료를 위한 경구수액요법

병원에서 맞으라고 문자왔는데 집 근처 보건소 가서 맞아도 되나요?? 산부인과가서 맞아야 하나용?

백일해 파상풍주사

보건소는 안 하는 것 같더라구요. 가격도 다 달라서 저는 좀 저렴한 곳 찾아가서 맞았어요!

저는 보건소에 백일해주사 있어서 가서 맞았어요 병원에서 맞는 것보다 거의 반값이라 추천드려요!

산부인과나 일반병원은 보통5만원대인데 저는 뱡원에 온김에 맞으라고 그러셔서 그냥맞앗어여ㅠ 보건소는 신생아만 뇌주는데가 대부분이라 전화로 물어보셔야할거같아요

저는 인구보건복지협회라는 곳에 가서 남편이랑 같이 맞았어요 인당 35000이었어요

저도 윗분처럼 인구보건협회 가서 신랑이랑 같이 맞았어용ㅋㅋ 저기가 저렴해요! 35,000!! 

보건소 21500원
산부인과 50000원 이었어요^^

제가 있는 지역은 보건소에서 무료로 놔줬는데 한번 알아보세요. 지자체마다 다른것같네요~ 

오…저도 무료였는데 지자체마다 다르군요..ㅠ
서초구는 보건소가시면 무료에요!!

คุณแม่เริ่มจะปรับตัวให้นอนสบายขึ้นได้หรือยังเอ่ย? จริงๆแล้วในไตรมาสที่ 2 นี้เป็นช่วงที่คุณแม่จะนอนหลับได้สบายที่สุดในช่วงที่ตั้งครรภ์ แต่ก็ยังไม่บางท่านที่ยังนอนหลับไม่ค่อยได้อยู่ วันนี้เรามีเคล็ดลับต่างๆมาฝากกันค่ะ<hr>การนอนหลับของคุณแม่ในไตรมาสที่ 2<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2021/b64fe824-4f30-4813-b46f-79d7353a1e23.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">นอนหลับดีขึ้น?ในไตรมาสที่ผ่านมาคุณแม่จะรู้สึกเหนื่อย😫อยู่ตลอดเวลา หรือมีค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลใช่ไหมคะ? ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ 😴 เนื่องจากระดับฮอร์โมนของคุณแม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น คุณแม่จะรู้สึกว่าตัวเองมีพลังงานมากขึ้นในตอนเช้า และจะนอนหลับฝันดีในตอนกลางคืน ส่วนอาการแพ้ท้องก็ดีขึ้นแล้ว สบายใจได้แล้วค่ะ😃สาเหตุที่ทำให้ยังนอนไม่ค่อยหลับโดยสาเหตุที่อาจทำให้คุณแม่ยังนอนไม่ค่อยหลับในไตรมาสที่ 2 นั้นอาจมาจากน้ำหนักของเจ้าตัวเล็ก👶ในครรภ์ของคุณแม่นั่นเองค่ะ เมื่อน้ำหนักของทารกเพิ่มขึ้น คุณแม่จะสามารถรับรู้ถึงการดิ้นของลูกในท้องอย่างชัดเจนมากขึ้น รวมถึงลูกจะมีการเคลื่อนไหวเกือบตลอดเวลา ทำให้คุณแม่หลับไม่ค่อยสนิท รวมถึงในร่างกายของคุณแม่ยังมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงอยู่เลยทำให้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่คุณแม่นอนไม่ค่อยหลับค่ะ💤&nbsp;<hr>วิธีสร้างนิสัยการนอนที่ดี<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2021/49c5b95c-d9dc-486d-bbbb-a6780b392c4b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">การสร้างนิสัยการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2 อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่ที่จะนอนหลับอย่างมีคุณภาพ🛌🏾 และยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการสร้างนิสัยการนอนที่ดี เพราะตอนนี้ร่างกายของคุณแม่เริ่มคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดและทุกอย่างดูเสถียรมากขึ้นไม่เหมือนกับในไตรมาสแรกให้คุณแม่ลองเปลี่ยนไปนอนตะแคง และลองกำหนดกิจวัตรการนอนหลับและสิ่งที่ควรทำก่อนนอน เช่น เข้าห้องน้ำ🚻 ดื่มนมอุ่น🥛 หรือวางโทรศัพท์ออกกำลังกายช่วยได้นี่คือโอกาสที่จะได้เริ่มออกกำลังกาย🏃อย่างเป็นประจำ ตอนนี้ร่างกายของคุณแม่ไม่เหนื่อยเหมือนในไตรมาสแรก จึงสามารถเริ่มออกกำลังกายเบาๆ เพื่อสุขภาพจิตและร่างกายได้ค่ะ🤗 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ค่อยออกกำลังกายเมื่อถึงเวลาใกล้นอนมากเกินไปนะคะ เพราะจะเป็นการทำให้ร่างกายตื่นตัวและยิ่งนอนไม่หลับกันเข้าไปใหญ่เลยค่ะ 🙆&zwj;♀<hr>วิธีให้คุณแม่นอนหลับสบายขึ้น<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2025/2433f3d5-a859-4c58-952d-a8d3310e65ca.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ทำบรรยากาศให้น่านอนลองเปลี่ยนหมอนหนุน หมอนข้าง เลือกที่นอน🛏️ที่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจซื้อเครื่องนอนที่สามารถรองรับน้ำหนักและสรีระของคุณแม่ได้ดีค่ะ&nbsp;เปิดเพลงเบาๆการเปิดเพลงหรือดนตรีบรรเลง🎵ก็สามารถเป็นตัวช่วยให้คุณแม่นอนหลับได้ค่ะ รวมถึงการทำสมาธิ หรือการฟังธรรมะเบาๆ ก็อาจช่วยให้คุณแม่หลับได้ง่ายขึ้นนะคะตื่นและนอนในเวลาเดิมการจัดตารางในการตื่นและนอน💤จะทำให้คุณแม่รู้สึกง่วงและสามารถเข้านอนได้เป็นเวลาค่ะ หากนอนไม่เป็นเวลาอาจจะทำให้คุณแม่ไม่รู้สึกง่วงก็เป็นได้ค่ะ&nbsp;การอ่านหนังสือ📖คุณแม่อาจลองหาหนังสือที่ชื่นชอบมาอ่านก่อนนอน อาจเป็นหนังสือเกี่ยวกับลูกน้อยหรืออาจเป็นหนังสือเกี่ยวกับงานอดิเรกที่คุณแม่ชอบ วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะคะหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนเข้านอนเป็นไปได้ให้พยายามเลี่ยงการดื่มน้ำ🌊ก่อนเข้านอนเพราะจะทำให้คุณแม่รู้สึกปวดปัสสาวะและต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ เป็นต้นเหตุให้นอนหลับยากนั่นเองค่ะ&nbsp;

การนอนหลับของคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2

&nbsp; &nbsp; &nbsp;หลังจากที่คุณแม่คลอดบุตรแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดเจ้าตัวน้อย เพื่อเข้าโปรแกรมฟื้นฟูสภาพร่างกายต่างๆให้กลับมาเป็นปกติ คุณแม่ควรเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรอย่างไร วันนี้ทางเรามีคำตอบให้คุณแม่แล้วค่ะ💁‍♀️<hr>ปัจจัยสำคัญในการเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตร มีดังต่อไปนี้✨เลือกโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานคุณแม่ควรเลือกโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน🏥 มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM: Maternal Fetal Medicine) คอยให้การดูแลตลอดการตั้งครรภ์ มีพยาบาลที่ชำนาญและมากด้วยประสบการณ์คอยดูแล &nbsp;หากเกิดวิกฤติตลอด 24 ชั่วโมง&nbsp;✨คำนึงถึงการเดินทางคุณแม่ควรเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรที่ไม่ไกลจนเกินไป โดยคำนึงถึงการเดินทางที่สะดวก🚙 เพราะในช่วงหลังคลอด ร่างกายของคุณแม่ยังไม่ได้กลับมาเป็นปกตินัก ควรละเว้นการเดินทางบนรถเป็นระยะเวลานานๆ✨บรรยากาศห้องพักหลังคลอดรวมไปถึงการคำนึงถึงห้องพักของศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตร&nbsp;โดยเลือกห้องพักที่สบาย🛌 บรรยากาศดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จะทำให้คุณแม่พักผ่อนอย่างเต็มที่ค่ะ<hr>และรวมไปถึงปัจจัยสำคัญในการเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรเหล่านี้✨มีอาหารให้คุณแม่ครบทุกมื้อศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรที่ดีควรมีอาหารสำหรับคุณแม่ครบทุกมื้อ🍱 อาหารถูกดูแลโดยทีมนักโภชนาการ มีการแนะนำรายการอาหารที่เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ทั้งอาหารมื้อหลักและอาหารว่างระหว่างวัน เพื่อให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน น้ำนมแม่เพียงพอและมีคุณภาพ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและสร้างภูมิต้านทานให้เจ้าตัวเล็ก✨มีการกายภาพบำบัดคุณแม่หลังคลอดบุตรควรได้รับการทำกายภาพบำบัดจากนักกายภาพบำบัดที่มีความชำนาญเท่านั้น💆‍♀️ เพื่อความปลอดภัยของร่างกายคุณแม่ โดยทำการนวดผ่อนคลาย เพื่อช่วยลดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และยังสามารถบรรเทาความเครียดให้คุณแม่ได้อีกด้วยค่ะ&nbsp;✨มีการเข้าพบจิตแพทย์คุณแม่หลังคลอดบุตรควรได้รับการดูแลใจด้วยเช่นกัน ด้วยการเข้าพบจิตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อคลายความกังวล เนื่องจากคุณแม่หลายๆท่านประสบปัญหาความเครียด🤯ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนทำให้เป็นโรคซึมเศร้าลุกลามมาจนถึงช่วงหลังคลอดบุตรป้องกันอาการเศร้าและปัญหาสุขภาพใจคุณแม่หลังคลอด ทำให้คุณแม่กลับมามีความสุข ผ่อนคลาย และมีสภาพจิตใจที่ดีค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;เห็นแล้วใช่ไหมคะถึงปัจจัยในการเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตรที่ดี ควรประกอบไปด้วยบริการต่างๆดังที่กล่าวไป เพราะสุขภาพของคุณแม่ในช่วงหลังบุตรมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจอย่างมาก ดังนั้นคุณแม่ควรได้รับบริการอย่างครบครันเพื่อทำให้ร่างกายคุณแม่ฟื้นฟูได้เร็ว พร้อมเป็นคุณแม่ที่แข็งแรง💪 เพื่อที่จะได้ดูแลเจ้าตัวเล็กได้อย่างเต็มที่ในทุกๆวัน และทำให้คุณแม่ได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจด้วยเช่นกันค่ะ

ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเมื่อเลือกศูนย์ดูแลคุณแม่หลังคลอดบุตร

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์นั้นควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพตัวเองเป็นพิเศษ การทำงานบ้าน 🧹เป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่งานบ้านบางประเภทส่งผลต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ถึงขั้นนำไปสู่ภาวะแท้งได้ วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลงานบ้านที่อันตรายต่อทารกในครรภ์ซึ่งคุณแม่ๆ ควรเลี่ยงการทำงานบ้านเหล่านี้ให้มากที่สุดค่ะ<hr>งานที่เสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมีรุนแรงงานล้างห้องน้ำคุณแม่ควรเลี่ยงงานล้างห้องน้ำ🚽 เพราะถือเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากในน้ำยาล้างห้องน้ำประกอบไปด้วยสารเคมีที่มีกลิ่นฉุนอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้เมื่อได้กลิ่นน้ำยาและส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณแม่หากสูดดมเป็นเวลานาน อีกทั้งคุณแม่ยังเสี่ยงลื่นล้มในขณะที่กำลังขัดพื้นห้องน้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้คุณแม่แท้งลูกในครรภ์ได้งานล้างจานเนื่องจากในขณะตั้งครรภ์นั้นผิวของคุณแม่จะมีความบอบบางมากกว่าปกติ อาจจะทำให้คุณแม่บางท่านมีอาการแพ้น้ำยาล้างจานได้ คุณแม่ควรเลี่ยงงานล้างจานหรือหากในกรณีที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ คุณแม่ก็ควรสวมถุงมือยาง🧤ขณะล้างจานด้วย<hr>งานที่ต้องใช้แรงงานและปีนขึ้นที่สูงงานยกสัมภาระน้ำหนักมากคุณแม่ควรเลี่ยงการยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน เช่น โต๊ะ ตู้ เตียงนอน 🛏️ เพราะเสี่ยงต่อการที่คุณแม่จะได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกขณะเคลื่อนย้ายสิ่งของและสามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมาในภายหลังงานทำความสะอาดพัดลมและเพดานการปีนขึ้นที่สูงเพื่อทำความสะอาดนั้นถือเป็นกิจกรรมต้องห้ามสำหรับคนท้อง เพราะอันตรายต่อครรภ์ของคุณแม่เป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณแม่ต้องปีนขึ้นไปทรงตัวบนบันได🪜 หรือเก้าอี้เพื่อเขย่งทำความสะอาด เสี่ยงที่จะตกลงมาจากบันไดและทำให้แท้งได้<hr>งานที่เสี่ยงต่อการสัมผัสแบคทีเรียและฝุ่นงานทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงคุณแม่ควรเลี่ยงการเข้าใกล้อุจจาระ💩ของสัตว์เลี้ยง เพราะในอุจจาระมีเชื้อโรคและเชื้อปรสิต หากคุณแม่ได้รับเชื้อเข้าไปอาจทำให้ทารกในครรภ์เป็นโรคท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) ซึ่งเกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่อยู่ในอุจจาระแมวงานดูดฝุ่นงานดูดฝุ่นนั้นเป็นงานที่คุณแม่ต้องสัมผัสกับฝุ่นละอองและตัวไรเป็นจำนวนมาก ซึ่งฝุ่นเหล่านี้เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ &nbsp;เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา 👁️ และยังส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของคุณแม่และทารกในครรภ์&nbsp; &nbsp; &nbsp;งานบ้านที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนเสี่ยงต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์เป็นอย่างมาก คุณแม่ควรตระหนักและหลีกเลี่ยงการทำงานเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด คุณแม่สามารถขอให้คุณสามี👨เข้ามาช่วยดูแลงานเหล่านี้แทน หรือจ้างแม่บ้านเข้ามาช่วยทำความสะอาดเพิ่มเติมค่ะ

คุณแม่ตั้งครรภ์ทำงานบ้านได้ไหม?

เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ และก็เริ่มที่จะใกล้วันกำหนดคลอดเข้าทุกที คุณแม่หลายๆคนก็จะประสบกับปัญหาของน้ำนมที่ไหลออกมาก่อนคลอด คุณแม่หลายๆคนก็อยากจะปั๊มเก็บไว้ล่วงหน้าเพราะกลัวว่านมจะไม่พบ หรือ อยากเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้หรือไม่เราไปดูกันค่ะ&nbsp;<hr>สามารถปั๊มนมก่อนคลอดได้ไหม?ปั๊มนมก่อนคลอดได้หรือไม่?จริงๆ แล้วการปั๊มนม🐄ก่อนคลอดอาจมีผลทำให้ลูกน้อยคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ลูกยังพัฒนาระบบทางเดินหายใจได้ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ทารกไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเอง ซึ่งบางคนอาจมีความเชื่อว่าการปั๊มนมก่อนคลอดล่วงหน้า จะช่วยกระตุ้นให้มีน้ำนม🥛ออกมามากขึ้นในภายหลัง แต่ก็แนะนำให้คุณแม่ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนจะดีที่สุดค่ะ&nbsp;แล้วควรเริ่มปั๊มนมตอนไหนดี?คุณแม่สามารถเริ่มปั๊มนมให้ลูกได้ หลังจากที่คลอดทันที ซึ่งในช่วงแรกน้ำนมของคุณแม่จะเป็นน้ำนมเหลือง🍼ที่เต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย สำหรับใครที่คิดว่าน้ำนมส่วนนี้ทานไม่ได้ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ มีประโยชน์ต่อลูกน้อยแน่นอนค่ะ โดยในช่วงนี้สามารถปั๊มนมได้ข้างละ 10 ถึง 15 นาที และเมื่อผ่านไปสักสามสี่วัน คุณแม่จะเริ่มปั๊มนมให้ลูกได้เยอะขึ้น โดยคุณแม่จะรู้สึกเลยว่าคัดเต้า โดยการปั๊มนมนั้นนอกจากจะช่วยหยุดอาการตกเลือดในช่องคลอดแล้วยังช่วยเร่งให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ🤗<hr>วิธีทำให้นมไหลได้ดีขึ้นลองนวดเต้านมคุณแม่ท่านใดที่อยากให้นมไหลได้สะดวกขึ้น ก่อนคลอดให้ลองนวดเต้านม โดยการนวด💆‍♀️เป็นประจำจะช่วยกระตุ้นให้เลือดมาหล่อเลี้ยงที่เต้านมของคุณแม่ หากคุณแม่พบว่ามีน้ำนมซึมออกมาในช่วงใกล้คลอดนั่นเป็นสัญญาณว่าต่อมน้ำนมได้เริ่มทำงานแล้วนั่นเองค่ะ&nbsp;ประโยชน์ของการนวดเต้านมการนวดเต้านมนั้นนอกจากจะเป็นการไปกระตุ้นให้ต่อมน้ำนมทำงานแล้ว ยังช่วยให้น้ำนม🥛ไหลสะดวกขึ้นและบรรเทาอาการปวดจากการอุดตันของท่อน้ำนมอีกด้วย<hr>หลังคลอดปั๊มนมอย่างไร? อาการท่อน้ำนมอุดตัน?เริ่มต้นด้วยการ...คุณแม่จะสามารถเลือกวิธีปั๊มนมแบบใช้เครื่องไฟฟ้า หรือ เครื่องปั๊มนมแบบมือได้✋ อย่างไรก็ตามในการเริ่มต้น คุณแม่ควรจะใช้วิธีการปั๊มด้วยมือก่อน &nbsp;โดยเคล็ดลับที่จะทำให้เจ็บน้อยที่สุดคือพยายามปั๊มนมให้คล้ายจังหวะที่ลูก👶ดูดนมที่สุด ระยะเวลาที่ปั๊มคือ 30-45 นาที และให้ปั๊มทั้งสองข้างค่ะท่อน้ำนมอุดตัน คืออะไร?ท่อน้ำนมอุดตันนั้นเกิดจากการอุดตันของท่อส่งน้ำนมบางส่วน จึงเป็นผลให้น้ำนมไหลได้ไม่สะดวก🥛 และมีน้ำนมคั่งอยู่ในเต้านมของคุณแม่เป็นจำนวนมาก จึงไม่แปลกหากคุณแม่จะรู้สึกว่ามีก้อนอะไรอยู่ เป็นแผ่นหนา และแข็ง ซึ่งจะไม่ได้เป็นทุกส่วนของเต้านม อาจมีอาการปวดแดง กดแล้วจะรู้สึกเจ็บ และลานหัวนมจะมีลักษณะผิดรูป อาจพบจุดสีขาวที่บริเวณหัวนม หรือ White dot และบางครั้งอาจพบอาการปูดของเส้นเลือดที่บริเวณเต้านม แต่จะไม่มีไข้ค่ะ&nbsp;

ปั๊มนมก่อนคลอดได้หรือไม่?

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลข เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนที่จะต้องพบกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ตั้งแต่วัยเด็ก เช่น ปริมาณ จำนวน การเปรียบเทียบ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้เข้าใจตัวเลขได้<hr>ลูกจะเข้าใจตัวเลขได้เมื่อไหร่?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2476/b59773d2-c9f6-4351-a71e-ebfe25e38ee8.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">สอดแทรกตัวเลขเข้าไปในกิจกรรมต่างๆคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่นการสอนให้นับ หนึ่งถึงร้อย🔢โดยอาจทำกิจกรรมอะไรบางอย่างและสอดแทรกตัวเลขเข้าไปกับกิจกรรมนั้นๆ &nbsp;โดยลูกจะสามารถเข้าใจความหมายของตัวเลขได้ เมื่อมีอายุประมาณ 5 ขวบเริ่มสอนลูกเมื่อไหร่ดี❓เมื่อลูกอายุประมาณ 1 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มสอนลูกโดยผสมตัวเลขให้อยู่ในเพลง🎵 และอาจคอยชี้ให้ลูกดูของสิ่งต่างๆ และบอกเป็นตัวเลขให้ลูกฟัง การสอนเลขให้ลูกอย่างสนุกสนานจะทำให้ลูกซึมซับและจดจำได้นั่นเองค่ะ<hr>วิธีสอนลูกให้นับเลข<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2476/c39cddaf-9814-42c3-9a9d-74a99a2073bf.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ใช้เพลงเป็นตัวช่วยลองใช้เพลงเป็นสื่อกลางในการสอนลูกให้จำตัวเลขดู โดยอาจใช้นิ้วทำเป็นนับจำนวนตามตัวเลขที่ขึ้นมาในเพลง🎵ไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าจำนวนที่ชูนิ้วอยู่คือจำนวนตัวเลขที่ร้องนั่นเองค่ะทำไปนับไปเอาตัวเลขเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อไปเดินช้อปปิ้งอาจให้ลูกช่วยนับของที่อยู่ในตะกร้า หรืออาจให้ลูกช่วยหยิบของจากหิ้ง สมมติให้ช่วยหยิบแอปเปิ้ล🍎จำนวน 3 ผลให้แม่ที หรือเมื่อเล่นของเล่นเสร็จก็อาจให้ลูกเก็บของเล่น โดยนับไปด้วยก็จะทำให้ลูกจำได้เร็วขึ้น&nbsp;แข่งกับเด็กคนอื่นการให้ลูกได้แข่งหัดนับเลข🔢กับเด็กคนอื่นโดยอาจเล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขก็จะทำให้ลูกจำได้ให้วาดรูปตาม☁️อาจลองให้ลูกวาดรูปตามที่คุณบอก เช่น วาดนมสี่ตัว วาดก้อนเมฆสามก้อน เป็นต้น หากลูกวาดได้ถูกต้องก็อาจได้สติ๊กเกอร์เป็นรางวัล<hr>วิธีอื่นๆ&nbsp;<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2476/1c7bfac8-c5bf-4f91-b91d-0ac89b7a31ab.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ใช้สื่อต่างๆอาจลองซื้อสมุดวาดภาพที่มีตัวเลขออกมาด้วย หรืออาจให้ลูกดูวีดีโอที่มีการร้องเพลงเป็นตัวเลขออกมาก็จะทำให้ลูกเรียนรู้ระหว่างสนุกกับการระบายสีตัวเลขและระหว่างฟังเพลง🎵จากสื่อวีดีโอนั่นเองค่ะสอนนับนิ้วหากลูกอยู่ในวัยก่อนเข้าเรียน การให้ลูกนับนิ้วมือ🖖🏻และนิ้วเท้าจะทำให้ลูกได้รู้จักตัวเลข และอาจให้ลูกเปรียบเทียบนิ้วต่างๆ ว่ามีขนาดใหญ่เล็กแค่ไหน&nbsp;ใช้ไพ่📇ใช้ไพ่ที่มีรูปและตัวเลขต่างๆ ที่มีสีสันและให้ลูกลองเรียงตัวเลขด้วยตัวเอง หรืออาจให้ลูกทายตัวเลขที่อยู่ในมือ และเมื่อทายถูกก็อาจให้รางวัลเล็กๆน้อยๆ&nbsp;เมื่อเตรียมตัวให้ลูกรู้จักตัวเลข🔢ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเขาเข้าโรงเรียนอนุบาลก็จะสามารถปรับตัวได้ไวกว่าหากไม่เคยสอนเลยค่ะ&nbsp;

สอนลูกนับเลขอย่างไรดี?

ทำไมต้องตรวจ?💡&nbsp; &nbsp;เมื่อคุณแม่พบผลการตรวจเป็นบวกจากการตรวจปัสสาวะวัดระดับของ HCG คุณแม่ควรไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลและทำการฝากครรภ์ครั้งแรกตรวจอย่างไร?💉ในการฝากครรภ์ครั้งแรก แพทย์จะซักถามประวัติสุขภาพเบื้องต้นของคุณแม่ พร้อมกับตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐาน เช่น การชั่งน้ำหนัก ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะหาน้ำตาลและโปรตีน ประเมินอายุครรภ์ และวันกำหนดคลอด รวมถึงวางแผนในการฉีดวัคซีนต่างๆ และนัดตรวจในครั้งต่อไปค่ะ<hr>TMI จาก BabyBilly👩&zwj;⚕️: &nbsp; &nbsp;ในการฝากครรภ์ครั้งแรก คุณแม่จะได้รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ เริ่มตั้งแต่การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง การสอบถามประวัติ โรคประจำตัว ประวัติครอบครัวต่อจากนั้นแพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อหาภาวะเลือดจาง ดูกรุ๊ปเลือด ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เชื้อซิฟิลิส และตรวจปัสสาวะเพื่อหาความปกติอื่นๆ รวมถึงเป็นการตรวจเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ (ตรวจร่วมกับอัลตร้าซาวด์)นอกจากนั้นคุณแม่จะได้รับการตรวจหาภูมิต้านทานต่อเชื้อเอชไอวี HIV และ หาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน รวมถึงได้รับการจ่ายยาบำรุงครรภ์และยาอื่นๆที่จำเป็นด้วยค่ะ&nbsp;

ฝากครรภ์ครั้งแรกตรวจอะไรบ้าง?

같은 개월 수의 아기라도 모발의 양과 길이가 다른 것을 볼 수 있는데요. 특히 아기 머리숱이 적고 잘 자라지 않는 아기의 양육자는 미용실에 데려가 밀면 숱이 많아지고 모발이 굵어지지 않을까 고민하실 텐데요.💬 머리카락이 잘 안 자라는 원인과 관리 방법을 알아보아요.<hr>아기 머리숱의 특성은?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1118/6054396c-9e3d-4eb0-8369-bda56ce8b968.gif" style="width: 100%;">제 머리는...머리숱은 유전으로 태아 때에 이미 결정되어요. 생후 12개월 또는 24개월이 지나도 머리숱이 없어 보이면 걱정을 하시는 양육자분들이 많아요. 하지만 걱정하시지 않으셔도 돼요.🙅 배냇머리가 빠지고 모낭에서 머리카락이 차오르는 시기가 개개인별로 달라서 그렇지 생후 2~3세 때 머리숱이 많아지고 머리카락이 굵어져요.<hr>아기 머리카락 관리 방법<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1118/4eb4412d-d0c0-49ef-a14c-ce0319cdd08c.gif" style="width: 100%;">하는 김에 제 머리두 부탁...하하;;;👩머리 감기와 말리기두피 청결이 중요한데요. 유아용 샴푸를 사용해 아기의 여린 두피를 보호해 주세요. 머리를 말릴 때는 드라이기로 말리지 말고 수건과 통풍으로 잘 말려 감기에 걸리지 않도록 해주세요.💙👩아기용 빗으로 빗질해주기아기는 장시간 누워 있기에 머리카락이 잘 엉킬 수 있어요. 엉킨 머리카락을 풀어주지 않으면 쉽게 머리카락이 빠질 수 있어 장시간 한쪽 방향으로 자지 않게 하고 머리를 감고 나서도 빗질을 해주시면 좋아요.👩머리 세게 묶기 및 머리핀 사용하지 않기아기들은 모근이 약하기 때문에 모발을 강하게 묶거나 당기면 탈모 증상이 나타날 수 있어요. 머리를 세게 묶지 않고 머리핀을 장시간 사용하지 않도록 주의해 주세요.👩파마 및 염색 피하기파마 성분과 염색성분이 아기 두피에 좋지 않고 두피에 염증을 일으킬 수 있어 자제해 주세요.👩골고루 음식 먹이기아기의 모든 성장발달 단계 필수인 균형 잡힌 식단이 제일 중요해요.🍎 특히 단백질 섭취가 부족하면 성장기 단계에 있는 모발을 휴직상태로 만들어 2~3개월 만에 머리카락이 빠질 수도 있어요.<hr>아기 머리카락 관리 주의사항🚨<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1118/d28c1810-9b97-487a-bf76-67d3c98bbe2a.gif" style="width: 100%;">주의...해야겠죠...?💡배냇머리는 밀면 안 돼요.배냇머리를 밀어야 머리숱이 많아지고 모발이 굵어진다는 속설을 많이 알고 계시는데요. 머리 밀기는 의학적으로 전혀 상관이 없어요. 배냇머리를 밀면 오히려 여린 피부에 자극이 가해지고 두피가 손상될 수 있어요💡아기 두피가 하얗게 되었다면?신생아에게서 흔히 볼 수 있는 태지는 두피에 하얗게 각질이 일어나고 딱딱해지는 현상이에요. 보통 100일이 지나면 자연스럽게 없어지니 걱정 안 하셔도 되어요.

아기 머리카락이 안 자라요

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนอาจพบว่าลูกน้อยอาเจียนออกมาหลังจากดูดนม หรือสำหรับทารกที่เริ่มทานอาหารเสริมแล้วก็อาจพบการอาเจียนหลังทานอาหาร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นวันนี้เรามีคำตอบค่ะ&nbsp;<hr>ทำไมถึงอาเจียนหลังกินนม<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2235/26daed11-797c-42cb-b496-1936a8f4b734.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">หูรูดยังไม่แข็งแรงในช่วงแรกเกิดจนถึง 6 เดือนนั้น หูรูดบริเวณที่ต่อกระเพาะอาหารกับหลอดอาหารของทารก👶จะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ดังนั้นหากมีการกดทับบริเวณช่องท้อง หรือเกิดการไอเวลาที่ลูกน้อยดื่มนมเข้าไปนั้น ก็จะทำให้ลูกน้อยอาเจียนออกมาเนื่องจาก ความดันที่เพิ่มขึ้นในท้องดันนมหรืออาหารออกมาเจ้าตัวเล็กเอามือเข้าปากอีกสาเหตุที่เป็นไปได้คือ ลูกน้อยแสนสนเอานิ้วหรือมือ✋ของตนเองล้วงคอเล่นจนอาเจียนก็เป็นได้ค่ะ&nbsp;<hr>สาเหตุอื่นๆ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2235/32afe631-8e7f-4325-9f06-32207430ba94.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">กินนมถี่เกินไปการให้นม🍼ลูกในแต่ละมื้อถี่เกินไปก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบได้เช่นกัน โดยควรมีความห่างในแต่ละมื้อประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะหากให้ไวกว่า 2 ชั่วโมง ก็จะมีนมตกค้างจากมื้อก่อนอยู่ในท้อง ทำให้เมื่อลูกน้อยทานนมเข้าไปอีกก็จะทำให้อาเจียนออกมาได้ค่ะกินนมมากเกินไปหากให้ลูกน้อย👶รับประทานนม หรือ อาหารมากเกินไปก็อาจทำให้อาเจียนออกมาได้ โดยวิธีการคำนวณปริมาณคร่าวๆ คือ น้ำหนักทุกๆ 1 กิโลกรัม ควรให้นมประมาณ 20-25 มิลลิลิตร ดังนั้นหากลูกน้อยหนัก 3 โล ก็ควรให้ประมาณ 60-75 มิลลิลิตร เป็นต้นแต่สำหรับทารกบางคนอาจจะไม่พอทาน หรืออาจทานไม่หมด ก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับสูตรข้างต้น ให้สังเกตว่าเมื่อลูกน้อยดื่มนมหมดขวด ลูกน้อยยังคงดูดขวด🍼นมแรงหรือเปล่า โดยลูกน้อยอาจร้องหรือลืมตา👀กว้างไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ให้เพิ่มปริมาณนมให้ลูกตามความเหมาะสมนะคะ<hr>อาการอาเจียนที่ผิดปกติ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2235/5832521b-0bb6-4a7c-9287-ceb694f8f6f3.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨หากลูกน้อยมีการอาเจียนออกมาเป็นสีเขียวปนเหลือง ควรพาลูกน้อยไปหาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นสัญญาณของเกิดภาวะลำไส้อุดตัน✨หากลูกน้อยมีการไอมากและอาเจียนอย่างแรงเป็นระยะเวลา 2-3 วัน อาจเป็นสัญญาณของโรคไอกรนได้ ควรรีบพาไปโรงพยาบาลทันทีนะคะ✨หากมีอาการท้องเสียและอาเจียนร่วมกัน อาจมีสิ่งผิดปกติที่ลำไส้หรือกระเพาะอาการได้ค่ะ✨หากลูกน้อยมีไข้สูง อาเจียน และมีอาการซึมผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของโรคเชื้อไข้สมองอักเสบได้&nbsp;✨หากลูกน้อยอาเจียนหลังการให้นมหรืออาหารเสริมทุกมื้อ ให้สงสัยว่าอาจเป็นกระเพาะอาหารตอนปลายตีบได้รู้อย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ควรคอยสังเกตุอาการการอาเจียนของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด และหากมีความผิดปกติให้พาส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดนะคะ&nbsp;

ทำไมลูกถึงอาเจียนหลังกินนมนะ?

&nbsp; &nbsp; ในช่วงวันทำงานคุณพ่อคุณแม่ก็ลุยทำหน้าที่ของตัวเองกันอย่างเต็มที่ นานๆทีอาจจะมีวันหยุดสุดสัปดาห์สักหนึ่งวัน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่คุณพ่อคุณจะพาเจ้าตัวน้อยออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากันใช่ไหมคะ🤩 &nbsp;บทความนี้จึงได้รวบรวมสิ่งที่ควรพิจารณะก่อนพาเจ้าตัวน้อยออกไปวันเดย์ทริป จะมีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>วันเดย์ทริป ควรเดินทางไปเที่ยวอย่างไรดี?👉เลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางแนะนำว่าควรขับรถไปเองดีกว่า🚙 เพราะถ้าเราไปกับเด็กเล็กๆ ลูกอาจจะถ่ายหนักจนทำให้มีความจำเป็นต้องแวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊มด่วน หรือลูกอาจจะหิวบ่อยระหว่างทาง ก็จะสะดวกต่อการแวะซื้ออาหารและขนม🍿ตามร้านสะดวกซื้อตลอดนั่นเองค่ะ<hr>มีอะไรสำคัญอีกสำหรับการออกวันเดย์ทริป?👉อย่าลืมจดลิสต์สิ่งของจำเป็นที่ต้องเอาไป&nbsp;- สิ่งของจำเป็นสำหรับเจ้าตัวน้อย เช่น ขวดนม🍼 กระติกใส่น้ำผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผ้าเปียกเบบี้ไวพ์ ชุดสำรองไปเปลี่ยน- นั่งคาร์ซีททุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย ให้ลูกของเรานั่งคาร์ซีทตลอดทาง แต่อาจจะแวะจอดให้เขาไม่อึดอัดได้ออกมาเดินเล่นบ้าง อาจมีอุปกรณ์เสริมเป็นหมอนรองคอ เผื่อเขาหลับจะได้รู้สึกสบาย นอนยาวๆ😴 ตื่นอีกทีถึงที่หมายพอดี- ดูเวลาให้ตรงกับกิจกรรมของเขาแต่ละวัน ถ้าเราเดินทางตอนลูกง่วง เด็กๆ จะค่อนข้างงอแง อารมณ์ไม่ดีแต่ถ้าเราดูเวลาตอนนี้ให้เขาพักกินข้าว เวลานี้เขาได้นอนกลางวันตอนบ่ายเดินทางกลับ เป็นเวลาตามตารางของเขาเด็กๆ จะสดชื่น ใช้เวลาได้สนุกอย่างเต็มที่จริงๆ🥳- ขนมของว่างเตรียมใส่กล่องไว้ ถ้าลูกเป็นคนกินข้าวยาก คุณแม่ก็เตรียมสแน็คและอาหารที่ลูกชอบไปแบ่งใส่กล่องเล็กๆ ป้อนเขาระหว่างทางให้อิ่มท้อง- อุปกรณ์กันแดดพกไปให้ครบ หมวก ร่ม แว่นตากันแดดของเด็กและครีมกันแดดที่ SPF เพียงพอ ปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้ทั้งวันตามความเหมาะสม ถ้าร้อนก็เป็นเสื้อกล้ามหรือเสื้อยืดระบายอากาศ เกิดมีลมก็หยิบแจ็คเก็ตแขนยาวมาใส่&nbsp; &nbsp; &nbsp;สุดท้ายที่คุณพ่อคุณแม่ควรโหลดเพลง🎶 การ์ตูนที่ลูกชอบ เอาไว้แก้เบื่อตอนนั่งรถนานๆระหว่างเดินทาง และควรขับขี่อย่างช้าๆ เพื่อความปลอดภัย และอย่าลืมถ่ายวีดีโอเก็บไว้ดูเป็นความทรงจำด้วยนะคะ เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้นั่งร้องเพลงกันไปพร้อมกันทั้งครอบครัวแล้วค่ะ👨‍👩‍👧&nbsp;

วันเดย์ทริป พาลูกน้อยเที่ยวเช้าเย็นกลับก็สนุกได้!

&nbsp; &nbsp; &nbsp;การที่มีเลือด🩸ออกจากช่องคลอดในช่วงตั้งครรภ์คงเป็นสิ่งที่น่ากังวลและน่าตกใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ แต่สาเหตุของอาการเลือดออกนั้นมาจากอะไร เป็นเรื่องปกติควรนิ่งนอนใจหรือไม่ แล้วต้องมีเลือดออกมากแค่ไหนถึงนับว่าผิดปกติและควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เราไปดูกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>เลือดออกในช่วงตั้งครรภ์ที่เป็นปกติต้องเป็นอย่างไร✨เลือดในช่วงท้องไตรมาสแรกอันที่จริงแล้วอาการเลือดออกในครรภ์สามารถพบได้กับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 3 เดือนแรก และจะหายไปเองในช่วงระยะกลางและระยะหลังของการตั้งครรภ์🤰 อาจเรียกเลือดประเภทนี้ได้ว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก”🩸👶 ซึ่งเกิดจากขั้นตอนหลังการปฏิสนธิระหว่างไข่ของคุณแม่และอสุจิของคุณพ่อ และการฝังตัวของตัวอ่อนในเยื่อบุโพรงมดลูก แต่หากพ้นช่วง 3 เดือนแรกแล้วคุณแม่ยังมีอาการเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่ จะนับเป็นอาการที่ผิดปกติ ควรรีบเข้าพบแพทย์👩‍⚕️เพื่อวินิจฉัยถึงสาเหตุและแนวทางการรักษาทันทีเพื่อให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณแม่เองและเจ้าตัวน้อยในครรภ์อย่างน้อยที่สุดค่ะ<hr>อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าคุณแม่ควรไปพบแพทย์🩸เลือดออกจากอุบัติเหตุหากคุณแม่ประสบอุบัติเหตุที่มีการกระทบกระเทือนมา ไม่ว่าจะเป็นการล้ม หรือตกจากที่สูง🧗‍♀️ แล้วมีเลือดไหลออกจากช่องคลอด ควรไปพบแพทย์อย่างเร็วที่สุดค่ะ🩸เลือดออกจากช่องคลอดมีอาการปวดท้องน้อย เจ็บท้องน้อย😭 รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่กำลังบีบตัว ประกอบกับการมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย มีเลือดออกจากช่องคลอดในปริมาณที่มากกว่าผิดปกติ อาจมากถึงขั้นมีประจำเดือน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเลือดประจำเดือนเพราะคุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ค่ะ<hr>สาเหตุของภาวะเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ👉เกิดจากการแท้งคุกคาม&nbsp;อาการคือ มีเลือดออกจากช่องคลอดตั้งแต่ปริมาณน้อยจนถึงมาก อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมหรือไม่มีก็ได้ทั้งที่ปากมดลูกยังปิดอยู่ สาเหตุของการแท้งคุกคามนั้นมีความหลากหลายมาก แต่หลักๆอาจเกิดจากการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ของทารกตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากโรคทางพันธุกรรม🧬 ความผิดปกติของสารพันธุกรรมในร่างกายทารกก็เป็นได้ค่ะ👉เกิดจากภาวะท้องลมภาวะท้องลมหรือตั้งครรภ์โดยไม่มีตัวอ่อนในครรภ์🙅‍♀️🚼 สาเหตุมาจากการที่ไข่ของคุณแม่และอสุจิของคุณพ่อเกิดการปฏิสนธิกันจริง แต่ตัวอ่อนนั้นไม่สามารถฝังตัวบนผนังมดลูกได้ทำให้ฝ่อไปในภายหลัง เหลือไว้เพียงถุงการตั้งครรภ์ซึ่งไม่สามารถฝ่อไปเองได้เหมือนตัวอ่อน หากเกิดภาวะนี้ขึ้นต้องได้รับการขูดลอกถุงตั้งครรภ์ออก แต่ก็มีโอกาสหลุดออกมาได้เองเช่นเดียวกันหากถุงตั้งครรภ์มีขนาดเล็กมาก👉เกิดจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก&nbsp;ซึ่งก็คือภาวะที่ไข่ของคุณแม่และอสุจิของคุณพ่อสามารถปฏิสนธิกันได้สำเร็จ แต่ไปฝังตัวบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ผนังมดลูกนั่นเอง ปกติแล้วภาวะนี้จะนำมาซึ่งอาการปวดท้องน้อย ถ้ามีการแตกของถุงตั้งครรภ์ร่วมด้วยก็จะทำให้เกิดภาวะเลือดคั่ง🩸ในช่องท้อง ทำให้คุณแม่มีความดันโลหิตต่ำ เนื้อตัวซีดลง🥶 นำมาซึ่งภาวะช็อคและเสียชีวิต💀ได้ค่ะ👉เกิดจากภาวะที่เรียกว่า “การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก”&nbsp;เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติและอาจก่อให้เกิดก้อนมะเร็งในรกได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาด้วยการขูดมดลูก ภาวะนี้มักมาพร้อมกับการที่เลือดออกตั้งแต่ปริมาณน้อยจนถึงมาก คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องที่หนัก🤮 และอาจมีภาวะครรภ์เป็นพิษร่วมด้วยค่ะ👉เกิดจากความผิดปกติของมดลูกในร่างกายของคุณแม่&nbsp;ไม่ว่าจะในเรื่องของลักษณะโครงสร้างทั่วไป หรือเรื่องของประสิทธิภาพการทำงาน รวมไปถึงฮอร์โมนที่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน🚼 ซึ่งทำให้ให้ตัวอ่อนมีปัญหาในขั้นตอนการฝังตัวตามมาค่ะ👉เกิดจากความผิดปกติของรกในท้องของคุณแม่&nbsp;ไม่ว่าจะเป็นภาวะรกเกาะต่ำ หรือภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งทำให้ทารกในท้องมีโอกาสขาดสารอาหารได้ เพราะรกเปรียบเสมือนเครื่องมือในการนำสารอาหาร🍲และแก๊สออกซิเจนจากร่างกายของคุณแม่ถ่ายทอดไปยังร่างกายของเจ้าตัวน้อยในครรภ์👶 หากรกมีปัญหาก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของทารกโดยตรงเลยค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;อันที่จริงแล้ว อาการเลือด🩸ออกจากช่องคลอดในช่วงใดก็ตามของการตั้งครรภ์นั้นสามารถเกิดอย่างปกติได้ค่อนข้างน้อย เพื่อความมั่นใจ คุณแม่สามารถไปพบแพทย์👩‍⚕️ได้ทันทีเพื่อความสบายใจว่าตนเองกำลังประสบกับภาวะเลือดออกตามปกติหรือไม่ หรือกำลังเลือดออกเพราะมีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์🤰ค่ะ

คนท้องมีเลือดออกแบบนี้ ปกติหรือไม่!?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณพ่อคุณแม่กับปัญหาการเปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับเด็กทารกกันใช่ไหมคะพบกับ นับว่าเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อผ้าอ้อมแบบไหนที่จะเหมาะกับลูก และวิธีการเปลี่ยนผ้าอ้อมที่ถูกต้องเป็นอย่างไร วันนี้ทางเรามีคำตอบมาให้คุณพ่อคุณแม่ทราบพร้อมๆกันแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>10 ขั้นตอนในการเปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับเด็กทารก มีดังต่อไปนี้1️⃣ เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อมอันดับแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น ผ้าอ้อมผืนใหม่ที่สะอาด, ทิชชู่เปียกสำหรับเช็ดทำความสะอาด, ครีมทาผื่นสำหรับเด็ก, แผ่นรองเปลี่ยนผ้าอ้อม และเสื้อผ้าชุดใหม่🎽 เป็นต้น2️⃣ ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมล้างมือให้สะอาดเรียบร้อยด้วยสบู่ที่อ่อนโยนทุกครั้ง🧼 เพื่อสุขอนามัยที่ดีและเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่บนฝ่ามือนะคะ3️⃣ วางลูกลงบนแผ่นรองสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อมหลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถวางลูกน้อยของคุณลงบนแผ่นสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อม, ผ้าเช็ดตัว หรือโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสะอาดและปลอดภัย ในกรณีที่วางลูกบนโต๊ะ ควรเอามือข้างหนึ่งจับ✋ลูกน้อยไว้ตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุลูกกลิ้งตกลงมาได้ค่ะ4️⃣ ทำการแกะผ้าอ้อมที่สกปรกออกหลังจากวางลูกน้อยลงบนแผ่นเปลี่ยนผ้าอ้อมแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถปลดผ้าอ้อมผืนเก่าที่สกปรกออกช้าๆ แต่อย่าเพิ่งดึงผ้าอ้อมออกจากตัวลูก👶นะคะ5️⃣ ทำความสะอาดให้ลูกน้อยเมื่อแกะผ้าอ้อมเก่าออกแล้ว ค่อยๆยกขาลูกขึ้นโดยจับที่ข้อเท้าเบา ๆ หลังจากนั้นให้ใช้ทิชชู่เปียกเช็ดทำความสะอาดบริเวณผ้าอ้อมให้สะอาดหมดจด ควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้อุจจาระมาปนเปื้อนกับอวัยวะเพศ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย🦠- สำหรับเด็กผู้หญิง👧 คุณพ่อคุณแม่ควรเช็ดบริเวณอวัยวะเพศเบา ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการระคายเคืองของผิว&nbsp;- สำหรับเด็กผู้ชาย👦 คุณพ่อคุณแม่ควรเช็ดและวางอวัยวะเพศลงเบา ๆ ระหว่างเปลี่ยนผ้าอ้อมเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ<hr>และรวมไปถึงขั้นตอนดังต่อไปนี้6️⃣ ปล่อยให้บริเวณที่ทำความสะอาดแห้งสนิทหลังจากเช็ดทำความสะอาดก้นและบริเวณรอบ ๆ ที่ใส่ผ้าอ้อมอย่างอ่อนโยนและทั่วถึงทุกซอกทุกมุมแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยให้ผิวของลูกน้อยผึ่งลมจนแห้งสนิท หรือจะใช้ผ้าสะอาด🧻ซับบริเวณนั้นช่วยด้วยก็ได้นะคะ7️⃣ เอาผ้าอ้อมเก่าออกเมื่อผิวของลูกสะอาดและแห้งสนิทแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถเอาผ้าอ้อมผืนเก่าที่สกปรกออกได้ และทำการเปลี่ยนเป็นผืนใหม่ที่สะอาดเข้าไปแทนที่✅8️⃣ ทาครีมป้องกันผื่นผ้าอ้อมให้ลูกคุณพ่อคุณแม่ควรทาครีมลดผดผื่น🧴สำหรับเด็กเป็นประจำทุกครั้งเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อม เพื่อเป็นการป้องกันผื่นจากความอับชื้นและลดการระคายเคืองต่อผิวลูกที่โดนผ้าอ้อมเสียดสีเป็นประจำ หากพบว่าลูกมีผื่นบนตัว แนะนำให้ทาครีมลดผดผื่นอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน เพียงเท่านี้อาการผดผื่นก็จะหายไปแล้วค่ะ!9️⃣ ติดผ้าอ้อมผืนใหม่ให้สนิทคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าด้านหลังของผ้าอ้อมอยู่ในแนวเดียวกับเอว ยกด้านหน้าของผ้าอ้อมขึ้นระหว่างขาของทารก รัดแถบให้แน่น และควรเช็กให้แน่ใจว่าผ้าอ้อมแน่นกระชับกับลำตัวของลูก ผ้าอ้อมไม่ควรแน่นเกินไปหรือหลวมเกินไป เพื่อป้องกันการรั่วซึมของปัสสาวะและอุจจาระ💩🔟 ทำความสะอาดอีกครั้งสุดท้ายแล้วคุณพ่อคุณแม่สามารถทิ้งผ้าอ้อมผื่นเก่าลงถังขยะ🗑️ โดยทิ้งลงให้ถุงพลาสติกดำหนึ่งชั้นก่อนอย่างมิดชิด หลังจากนั้นใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ ที่เปลี่ยนผ้าอ้อม แล้วล้างมือให้สะอาดเรียบร้อยอีกครั้งก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ เย้!&nbsp; &nbsp; &nbsp;เห็นแล้วใช่ไหมคะว่าการใส่ผ้าอ้อมให้ลูกนั้นง่ายนิดเดียว! คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่ากางผ้าอ้อมตรงที่พอดีกับก้นเด็ก👶 และติดกาวแน่นเรียบร้อย จะได้ไม่เกิดการรั่วไหลของคราบสกปรกในภายหลังด้วยนะคะ

10 วิธีการเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กทารกสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

ปัญหาการมีลูกยากนั้นเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญคู่รักคู่แต่งงานหลายๆคู่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ การใช้ชีวิต นิสัยการกิน รวมถึงความรู้ในเรื่องตั้งครรภ์ เราเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ที่คลิ๊กเข้ามาอ่านคงเป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังอยากมีลูกแต่ไม่ว่าจำทำวิธีไหนก็ยังไม่สำเร็จสักที ดังนั้นวันนี้เบบี้บิลลี่ได้นำวิธีต่างๆที่จะช่วยให้มีลูกได้เร็วมาฝากกันค่ะ ซึ่งจะมีวิธีอะไรบ้างนั้นเราไปดูพร้อมๆกันเลย!<hr>วิธีที่จะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ง่ายขึ้น<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3640/2a99c1c8-3d7b-457e-9f2a-1a3f383fa002.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เข้าใจเรื่องวันไข่ตกมีหลายคู่ที่ใช้วิธีเพิ่มความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสของการตั้งครรภ์ แต่ความจริงแล้วเรามีอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้ นั่นก็คือการนับวันไข่ตก🥚นั่นเอง นั่นเป็นเพราะการที่คุณแม่จะตั้งครรภ์ได้นั้น อสุจิจะต้องเจาะเข้าไปในมดลูกหรือรังไข่และทำการฝังตัวสำเร็จ ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์ก่อนไข่ตกประมาณ 1-2 วัน อสุจิจะสามารถเข้าไปรอในรังไข่ ให้ไข่ตกลงมาและทำการปฏิสนธิ ตั้งครรภ์สำเร็จในที่สุดค่ะ👍ปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารแน่นอนว่าสารอาหาร🍲นั้นมีผลต่อร่างกายของคนเราอย่างมาก โดยเฉพาะกับคุณแม่ที่กำลังเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ ในช่วงนี้คุณแม่จะต้องใส่ใจเรื่องของอาหารให้มากขึ้น เนื่องจากสารอาหารบางอย่างสามารถช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการทำงานของระบบสืบพันธ์ มีบทบทความสำคัญในการตั้งครรภ์ รวมถึงช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์🤰ได้ด้วย<hr>มีวิธีไหนอีกน้า?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3640/bcce52d9-79b6-4bc7-8cef-81c12f4c7dc7.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ไม่เครียดจนเกินไปความเครียดนั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลกับร่างกายของคุณแม่ได้ เมื่อเราเครียด สมอง🧠จะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่ส่งผลรบกวนต่อระบบการสืบพันธ์ุและส่งผลไปถึงโอกาสในการตั้งครรภ์ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคุณแม่หลายๆท่านก็มักจะเครียดจากการพยายามมีลูกน้อยแต่ไม่สำเร็จ จึงส่งผลให้เราเครียดโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น เราจึงแนะนำให้คุณแม่หาวิธีผ่อนคลายให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยว ดูหนัง อ่านหนังสือ📖 เป็นต้น&nbsp;ไปหาคุณหมอโดยส่วนใหญ่แล้วคุณพ่อคุณแม่มักจะไปพบคุณหมอหลังจากพยายามมีลูกแต่ไม่สำเร็จ โดยนอกจากคุณพ่อคุณแม่จะสามารถไปพบคุณหมอเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการมีบุตรยากแล้ว คู่รักที่กำลังวางแผนมีลูกน้อยก็สามารถไปพบคุณหมอได้เช่นกันค่ะ โดยการปรึกษากับคุณหมอ👩&zwj;⚕️นั้นจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ อย่างการรับประทานอาหาร หรือปฎิบัติตัวเพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์อย่างแข็งแรงนั่นเองค่ะการออกกำลังกายการออกกำลังกายไม่เพียงแต่จะช่วยลดไขมันหรือลดน้ำหนักเท่านั้น แต่การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมนั้น🏃&zwj;♀️จะช่วยให้ระบบและอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเพียงพอ รวมถึงช่วยให้เลือดภายในร่างกายไหลเวียนดีขึ้น และช่วยให้ระบบสืบพันธ์ุทำงานได้ดีขึ้นด้วยค่ะ

อยากมีลูกไวๆ ต้องทำอย่างไร?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;เด็กๆมักตื่นเต้นทุกครั้งกับการที่ได้ออกไปเล่นนอกบ้าน หนึ่งสถานที่ที่เด็กๆมักชอบอ้อนขอให้คุณแม่พาไปมากก็คือสนามเด็กเล่นที่มีสไลเดอร์🛝 การเล่นสไลเดอร์นั้นมีข้อดีอย่างไรบ้าง และปลอดภัยต่อเด็กๆจริงไหม ทางเราได้รวบรวมคำตอบวางไว้ให้คุณแม่ทราบแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>สไลเดอร์ปลอดภัยต่อเด็กเล็กจริงหรือไม่?✨ปลอดภัยหากเล่นอย่างถูกวิธีคำตอบคือ การเล่นสไลเดอร์นั้นปลอดภัยต่อเด็กค่ะ👶 ซึ่งเด็กๆควรเล่นสไลเดอร์ด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงไปถึงความปลอดภัยในช่วงเล่น และแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสไลด์ลงมาจากสไลเดอร์<hr>สไลเดอร์ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร?👉โครงสร้างแข็งแรงทนทานสไลเดอร์ที่ดีนั้นควรมีโครงสร้างที่แข็งแรง💪 ไม่มีการชำรุดของอุปกรณ์ และยังมีการดูแลบำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลา👉ไม่สูงจนเกินไปสไลเดอร์ที่มีความสูงจนมากเกิน 120-150 cm อาจเสี่ยงทำให้เด็กเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะเด็กสามารถหล่นมาจากเครื่องเล่นได้ และยังได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส🤕👉มีอุปกรณ์รองรับแรงกระแทกอุปกรณ์รองรับการกระแทกถือว่าเป็นส่วนช่วยสำคัญในการรองรับเมื่อเด็กสไลด์ลงมาจากสไลเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของยางกันกระแทก หรือฟองน้ำกันกระแทก🧽 ก็สามารถช่วยดูดซับแรงกระแทกเพื่อลดอาการบาดเจ็บเมื่อเด็กๆตกลงมา<hr>ประโยชน์ของการเล่นสไลเดอร์💫ช่วยพัฒนาทางด้านอารมณ์พัฒนาการทางด้านอารมณ์นั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก เด็กควรจะได้เรียนรู้ในการแบ่งปันในขณะเล่นสไลเดอร์ กับเพื่อนๆและยังได้ทำการรู้จักเข้าสังคมเพื่อรู้จักเพื่อนใหม่ด้วย👯‍♂️💫ช่วยให้เด็กฝึกการตั้งเป้าหมายเด็กๆที่เล่นสไลเดอร์นั้นจะต้องเดินขึ้นไปบนบันไดเพื่อสไลด์ลงมา การทำเช่นนี้เป็นการทำให้เด็กๆได้ตั้งเป้าหมาย🎯ไว้ว่าจะปีนไปถึงขั้นบนสุดนั้นจะต้องใช้ความพยายามและความเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นเด็กจึงได้พัฒนาและเรียนรู้ที่จะมีความอดทนเพื่อที่จะมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตัวเองคาดหวังไว้💫ช่วยให้เด็กฝึกการกะระยะในการเล่นสไลเดอร์นั้นเด็กๆจะได้ใช้สายตา👀เพื่อเป็นการฝึกกะระยะในการเล่นสไลเดอร์ เพราะเด็กๆจะต้องฝึกหัดกะระยะว่าจะต้องเอื้อมมือไปจับตรง นำเท้าไปวางบนส่วนไหน จึงจะเป็นการที่ทำให้เด็กๆได้ยึดเกาะกับตัวสไลเดอร์อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการฝึกความเชื่อมโยงระหว่างสายตา สมอง🧠 และกล้ามเนื้อแขนขาให้ทำงานร่วมกันได้ดี&nbsp; &nbsp; &nbsp;สรุปได้ว่าการเล่นสไลเดอร์นั้นมีประโยชน์ต่อการพัฒนาทางด้านร่างกายและทางด้านสติปัญญาของเด็กๆ เพียงแต่คุณแม่ควรสอนเด็กๆให้เล่นสไลเดอร์อย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ในขณะเล่นสไลเดอร์🛝นั่นเองค่ะ&nbsp;

การเล่นสไลเดอร์ ปลอดภัยต่อเด็กจริงไหม

ช่วงนี้คุณแม่ส่องกระจกแล้วสังเกตว่าตัวเองมีผิวที่เปล่งปลั่งขึ้นไหมคะ? ผิวพรรณเปล่งปลั่งระหว่างตั้งครรภ์นั้นจะมีความชัดเจนมากที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งผิวเปล่งปลั่งนี้อาจเกิดขึ้นหรืออาจไม่เกินขึ้นก็ได้แล้วแต่คนนะคะ ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าทำไมตั้งครรภ์แล้วผิวจึงเปล่งปลั่งขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันค่ะ&nbsp;<hr>ผิวเปล่งปลั่งขึ้นขณะตั้งครรภ์<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2038/11cf21ce-3d33-4a6c-8487-8c46c1ca3a64.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">👩 คุณแม่จะมีผิวที่เปล่งปลั่งขึ้นตอนไหน?คุณแม่อาจพบว่าตอนนี้ผิวพรรณของคุณแม่เปล่งปลั่งมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อดีของการตั้งครรภ์นั่นเอง!🤰 ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีเวลากำหนดที่แน่นอนว่าผิวของคุณแม่จะเปล่งปลั่งขึ้นเมื่อไหร่ 🤗 แต่ในช่วงไตรมาสที่ 2 เมื่ออาการแพ้ท้องดีขึ้น คุณแม่อาจสังเกตเห็นความเปล่งปลั่งที่ใบหน้าได้ รวมถึงช่วงนี้หน้าของคุณแม่ก็จะแดงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ👩 สิ้นสุดช่วงเวลาแห่งการเปล่งปลั่งผิวเปล่งปลั่งของคุณแม่นั้นจะไม่ได้คงอยู่ตลอดไป และจะสิ้นสุดหลังจากที่คลอดเจ้าตัวเล็กออกมา เพราะเมื่อคลอดเจ้าตัวเล็กออกมา👶ฮอร์โมนและการไหลเวียนของเลือดของคุณแม่จะกลับมาเป็นปกตินั่นเองค่ะ<hr>สาเหตุของการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งขณะตั้งครรภ์<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2038/944c64dc-ee17-4f1b-b2fb-fea0c12d9fd8.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">👩ฮอร์โมนพลุ่งพล่านสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณแม่มีผิวเปล่งปลั่งดูสุขภาพดีระหว่างที่ตั้งครรภ์ นั่นเป็นเพราะร่างกายของคุณแม่มีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนและ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและ hCG ซึ่งมีส่วนทำให้ผิวพรรณของคุณแม่เปล่งปลั่งและดูโกลว์ขึ้นนั่นเองค่ะ☺️👩เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในช่วงที่ตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดของคุณแม่จะเพิ่มขึ้นถึง 50%! เพื่อรองรับทารกและอวัยวะอื่นๆ ของคุณแม่ โดยการไหลเวียนของเลือดที่มากขึ้นจะทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่งและมีชีวิตชีวา รวมถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้คุณแม่หน้าแดงนั่นเองค่ะ👩 การผลิตน้ำมันอีกสาเหตุที่ทำให้คุณแม่มีผิวเปล่งปลั่งคือ ต่อมไขมันของคุณแม่ผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากขึ้นทำให้ดูเป็นมันเงา แต่อย่างไรก็ตาม น้ำมันเหล่านี้ก็สามารถอาจก่อให้เกิดสิวบนใบหน้าของคุณแม่ได้นะคะ😉หากคุณแม่ท่านใดไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของความเปล่งปลั่งของผิวพรรณก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน😃 และการที่ผิวเปล่งปลั่งขึ้นก็ไม่ได้บ่งบอกถึงสุขภาพของการตั้งครรภ์ของคุณแม่ค่ะ🤰

ทำไมผิวถึงเปล่งปลั่งขึ้นขณะตั้งครรภ์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;โรคเบาหวาน🍰นั้นถือเป็นโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน และคุณผู้อ่านหลายๆท่านคงเคยทราบมาว่าโรคเบาหวานนั้นถูกแบ่งเป็นชนิดต่างๆตามลักษณะความบกพร่องของฮอร์โมนตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บน้ำตาลในกระแสเลือดไปสะสมในเซลล์ร่างกาย ฮอร์โมนตัวนั้นก็คืออินซูลินนั่นเอง แต่เมื่อพูดถึงการเป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์🤰นั้นจะมีการแบ่งประเภทที่แตกต่างออกไปตามระยะเวลาการเกิดโรค แต่จะสามารถแบ่งเป็นอย่างไรได้บ้างนั้น เราไปดูกันต่อเลยค่ะ💁&zwj;♀️<hr>ประเภทของเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4607/56e29bc2-b0a3-49ad-a1f9-d77170582d46.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">💫เบาหวานที่ตรวจเจอก่อนตั้งครรภ์&nbsp;เป็นกลุ่มของคุณผู้หญิง👩ที่เป็นเบาหวานมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์อยู่แล้ว โดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นเบาหวานชนิดไหน แต่ไม่ว่าจะชนิดไหนก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ได้ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะแท้ง🩸 ภาพว่าคลอดก่อนกำหนด ทารกเสียชีวิต💀ตั้งแต่ยังไม่คลอดหรือเสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน จนไปถึงภาวะทารกตัวโตกว่าปกติ ซึ่งค่อนข้างเสี่ยงต่อการที่ทารกจะเป็นเบาหวานตามคุณแม่เช่นกันค่ะ💫เบาหวานที่ตรวจเจอระหว่างตั้งครรภ์&nbsp;นับเป็นเบาหวานรูปแบบที่พบเป็นส่วนมากในหญิงตั้งครรภ์🤰เลยค่ะ แต่อันที่จริงคุณผู้หญิงอาจเป็นเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ก็ได้ แต่หากพึ่งมาตรวจพบในช่วงกำลังตั้งครรภ์ก็จะนับเป็นเบาหวานประเภทนี้ค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้ว คุณผู้หญิงที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะเป็นคนที่สมาชิกในครอบครัว👨&zwj;👩&zwj;👧เป็นเบาหวานเช่นกัน หรือเป็นคุณผู้หญิงที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน🐷นั่นเองค่ะ💫เบาหวานหลังตั้งครรภ์&nbsp;สามารถเกิดได้ค่อนข้างน้อยกว่าเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ค่ะ<hr>ควรทำการตรวจเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ตอนไหน<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4607/88f866fa-e67e-48b1-923d-efaa8648b6c2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">อันที่จริงแล้ว คุณแม่สามารถตรวจภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้เมื่อมีอายุครรภ์ในช่วง 24-28 สัปดาห์หรือเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6-7 สัปดาห์นั่นเองค่ะ แต่หากในช่วงฝากครรภ์ซึ่งยังถือเป็นช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ หากแพทย์👨&zwj;⚕️ซักประวัติแล้วพบว่าคุณแม่มีความเสี่ยง แพทย์ก็จะทำการตรวจคัดกรองให้ตั้งแต่ครั้งแรกของการฝากครรภ์เลยค่ะเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร👉เน้นการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน🥩แทนการรับประทานคาร์โบไฮเดรตและไขมันค่ะ👉สำหรับสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งต้องรับประทานเป็นอาหารหลัก แนะนำเป็นข้าวที่ไม่ใช่ข้าวขาว ยกตัวอย่างเช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต หรืออาจเป็นอาหารที่ไม่ใช่ข้าว ยกตัวอย่างเช่น อาหารในกลุ่มวุ้นเส้น ขนมปังโฮลวีต🍞 ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่อิ่มท้องนานกว่ารับประทานข้าวขาว🍚 จะได้ไม่ต้องรับประทานข้าวบ่อยๆค่ะ นอกจากนี้ยังมีอาหารในกลุ่มผักที่ให้พลังงานเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแครอท🥕 ฟักทอง เผือก มัน ข้าวโพด🌽 ผักเหล่านี้นั้นสามารถรับประทานได้แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปค่ะ👉เลี่ยงอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ในกลุ่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะยงชิด เงาะ ลำไย รวมไปถึงสารปรุงแต่งความหวาน ที่ไม่ใช่เพียงแต่น้ำตาล แต่ยังรวมถึงน้ำเชื่อมและน้ำผึ้ง🍯อีกด้วยค่ะ👉เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ไม่ว่าจะเป็นของทอด🍗ของมัน จนไปถึงเนื้อสัตว์ติดมัน👉หลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดก็ตามที่มีโซเดียมสูงหรือเค็มจัด🥴นั่นเอง👉หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป รวมไปถึงบะหมี่กึ่ง🍜สำเร็จรูปด้วยค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;นอกจากการควยคุมโภชนาการ🍲แล้ว การออกกำลังกาย🏌️&zwj;♀️เองก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้เช่นเดียวกัน และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้อีกด้วยสำหรับคนที่ยังไม่เป็นเบาหวาน แม้ว่าเบาหวานจะนับเป็นโรคยอดนิยมที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป มีแนวทางการรักษา🩺ที่ชัดเจนและผู้ป่วยยังสามารถใช้ชีวิตกับคนทั่วไปได้ แต่หากเป็นไปได้ การปฏิบัติตัวให้ห่างจากโรคทุกชนิดก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ

การตรวจเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ปัญหาลูกท้องผูกอาจจะเป็นปัญหาที่คุณแม่หลายๆท่านกำลังกังวลอยู่ เพราะเรื่องการขับถ่ายถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เมื่อไหร่ที่ลูกท้องผูกและไม่ขับถ่าย ลูกจะเกิดอาการงอแง😭 รู้สึกอึดอัด และไม่สบายตัวเป็นอย่างมากบทความนี้ได้รวบรวมวิธีการรับมือกับปัญหาลูกท้องผูกมาให้คุณแม่ฟังกันค่ะ💁‍♀️<hr>สาเหตุที่ทำให้ลูกท้องผูก✨มาจากการดื่มนมสำหรับทารกแรกเกิดนั้นสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกถ่ายยาก และเกิดอาการท้องผูกล้วนมาจากการกินนมเป็นหลัก ดังนั้นคุณแม่ควรหมั่นสังเกตปริมาณนมที่เด็กดื่มเข้าไป ยี่ห้อของนม และความถี่ที่เด็กดื่มนมในแต่ละวันด้วย โดยปกติเด็กทารกที่ดื่มนมแม่🤱ควรถ่าย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และทารกที่ดื่มนมชง🍼ควรถ่ายทุกๆ 4-5 วัน<hr>วิธีสังเกตอาการลูกท้องผูก👉ลักษณะอาการของลูกท้องผูก มีดังต่อไปนี้- อุจจาระมีลักษณะแข็ง และเป็นก้อนเล็กๆ💩- ลูกถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์- ลูกต้องใช้เวลาเบ่งอุจจาระเป็นเวลานาน- ในขณะพยายามถ่ายอุจจาระนั้น ลูกจะต้องเกร็งขา🦵 และยืนเขย่งเท้า- ในบางกรณีอาจจะมีอาการท้องอืด ท้องแข็ง ใบหน้าแดง🥵<hr>วิธีแก้ปัญหาลูกท้องผูก🍼เปลี่ยนสูตรของนมผงหากคุณแม่พบว่าลูกมีอาการขับถ่ายยากจากนมที่ชงให้ลูกกิน คุณแม่ควรลองเปลี่ยนสูตรหรือเปลี่ยนยี่ห้อของนมผงเหล่านั้น เพื่อหาสูตรของนมที่เหมาะสมกับลูก👶💧ดื่มน้ำเปล่ามากขึ้นการดื่มน้ำมากขึ้นจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารเป็นไปได้ตามปกติ และรวมไปถึงยังช่วยให้การดูดซึมของอาหารเป็นไปตามปกติ หากลูกดื่มน้ำน้อยบอกปกติอาจจะส่งผลกระทบหลายๆอย่างต่อสุขภาพ เช่น เกิดอาการขาดน้ำ😰🥣เพิ่มอาหารบดอาหารบดนั้นมีส่วนประกอบของกากใยเป็นจำนวนมาก เช่น กล้วย🍌 ลูกแพร ลูกพรุน และพีช เป็นต้น เพราะกากใยอาหารจะทำให้ลูกขับถ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น🛀อาบน้ำอุ่นการอาบน้ำอุ่น♨️และการนวดคลึงเบาๆบริเวณท้องของลูกจะช่วยให้ลำไส้ได้รับการผ่อนคลาย แล้วกระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ ทำให้ทารกสามารถขับถ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง👉ออกกำลังกายการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆสามารถทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลมในร่างกาย กลัวไปถึงการเคลื่อนตัวของลำไส้ด้วยเช่นกัน ในสำหรับเด็กทารกนั้น คุณแม่สามารถจับเด็กทำท่าปั่นจักรยานอากาศ🚲 (Air Cycling) ซึ่งการทำลักษณะนี้จะช่วยกระตุ้นลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหว และลูกจะขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วยค่ะ👨‍⚕️พาลูกไปพบแพทย์&nbsp;หากคุณแม่พบว่าอาการท้องผูกของลูกทวีคุณไปในขั้นรุนแรง คุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยถึงสาเหตุของอาการท้องผูกและทำการรักษาให้ถูกสาเหตุ ไม่ควรซื้อยาถ่ายมาให้ลูกทานเองเป็นเด็ดขาด🙅‍♀️ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของทารกได้&nbsp; &nbsp; &nbsp;อาการท้องผูกในทารกนั้นเป็นอาการที่คุณแม่ไม่ควรมองข้ามเป็นเด็ดขาด เพราะอาการนี้ไม่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ หากคุณแม่สังเกตว่าลูกไม่ขับถ่ายเป็นเวลานาน 5-10 วัน รวมไปถึงในอุจจาระนั้นมีเลือดปน🩸 จนถึงขั้นเป็นสีดำ เด็กมีอาการงอแงมากปกติ และมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น เป็นไข้ อาเจียน และมีอาการซึมเศร้า ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

ลูกท้องผูก ทำยังไงดี?

아이를 가지기 전에는 커피☕도 탄산음료도 자유롭게 마실 수 있었지만, 임신하게 되면 커피의 카페인으로 인해서 커피를 마시지 않고 대체할 수 있는 차를 마시는 경우가 많은데요. 차도 임신부와 태아에게 좋은 것과 좋지 않은 것이 있다는 걸 알고 계시나요?<hr>엄마가 마시면 좋아요<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/c1695d38-06bd-41d3-bac2-9fcfeed9cb3b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">따뜻한 차 한 잔!물 대신 마셔도 좋아요.&nbsp;루이보스티루이보스티는 카페인이 없는 것으로 유명한 대표적인 허브 티🍵예요. 엄마 뿐만 아니라 어린아이들도 함께 마셔도 좋으며, 물 대신에 섭취하여도 괜찮은 차랍니다. 루이보스티는 홍차의 한 종류인데요. 은은하고 구수한 향이 마시기 편하고, 몸속의 노폐물을 내보내 주는 독소제거 효과도 있다고 합니다. 또한, 알레르기 완화 효과도 있고, 다이어트에도 도움이 되는 차로 알려지기도 하였어요.임신 초기에 배앓이를 하거나 위산 역류가 있다면 루이보스티를 추천하기도 해요. 소화에 도움을 주기 때문이에요. 또한 철분과 미네랄 흡수에도 도움을 주는 차이기 때문에 임신 초기에 챙겨 먹는 것을 추천 드려요. 단, 마실 때 향이나 맛이 밍밍하게 느껴질 수 있는데 이때는 우유나 꿀🍯을 타서 마시는 것도 좋아요.비타민C가 풍부해요.&nbsp;유자차와 모과차유자차와 모과차는 엄마에게 좋은 비타민C🍋가 상당히 많이 들어있는 차예요. 비타민C는 면역력에 좋으므로, 태아의 면역력 증대에 도움이 되고, 엄마의 면역력도 도움이 된답니다. 또한, 태아의 성장에 꼭 필요한 철분 성분을 돕는 효과도 있어서 유자차를 추천해요. 시중에 판매되고 있는 유자차에는 설탕 함량이 높아 당이 오를 수 있으니 될 수 있으면 하루 2잔 이하🍵로 마시는 것이 좋아요. 모과차는 피부 진정효과가 있어, 트러블이 계속해서 생기는 엄마라면 피부 진정과 탄력에도 많은 도움을 준다고 해요.<hr>임신 중 마시면 좋아요!&nbsp;<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/237bdbe6-aa58-434a-a0fa-988c35139ca6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">차에 이런 효능이 있다니?!자궁을 튼튼하게 해줘요.&nbsp;오미자차오미자차는 예부터 엄마의 건강과 자궁의 건강에 도움이 된다고 하여 임산부들이 많이 마시던 차라고 해요. 오미자차는 몸에 따뜻한 기운💨을 불어넣어 주고, 혈액순환을 도우며, 자궁을 튼튼하게 해주기 때문에 임신 초기부터 마셔주는 것이 좋아요.미국 산부인과에서 권해줘요.&nbsp;라즈베리잎차출산을 앞둔 엄마의 자궁 근육의 활성화에 효과가 있어 순산에 도움👍을 준다고 알려져 있어요. 또한, 출산 후에 발생하는 추가 출혈을 예방하는 데에도 효과적이에요. 라즈베리 잎차에는 마그네슘과 칼슘 그리고 비타민D, 철분을 다량으로 함유하고 있어서 임신 중기부터 마시면 태아👶의 발육에 좋고, 습진이나 알러지 등의 피부질환, 잇몸 질환에도 도움이 된다고 해요. 24주 이후에는 하루에 1잔, 30주 이후에는 하루 2잔, 36주 후에는 하루 3잔, 37주가 지나면 하루에 4잔 정도가 적당하다고 해요.붓기에 좋아요.&nbsp;민들레잎 차출산이 다가올수록 엄마들은 배가 불러오며 붓기 때문에 많은 고생😥을 겪는데요. 민들레 잎차는 체내의 불필요한 수분이 몸에 쌓이는 것을 예방해주고, 제때에 배출될 수 있도록 도와주는 데 효과가 있어요. 민들레 잎차에는 칼륨이 많이 들어있어서 이뇨 작용을 도와 붓기 완화에 도움을 주는데요. 단 민들레 잎차는 쓴맛이 강하여 마시기 힘들 수 있으므로 다른 차와 섞어서 마시거나 우유🥛를 살짝 타서 마시는 것이 좋아요.<hr>임신 중, 조심해서 마셔요!<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/f5ea96f1-520b-4e27-aa24-a4b87a0f6147.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%; height: 100%;">마시기 전 성분을 살펴요!블랙티ㆍ녹차ㆍ우롱차ㆍ얼그레이ㆍ다즐링: 카페인이 들어있어요.&nbsp;녹차와 다즐링 등에 함유된 카페인의 양은 커피에 비하면 20% 내외의 수준이에요. 따라서 먹고 싶을 때 가끔 마시는 것은 사실 태아에게 해를 가할 정도로 악영향을 줄 수는 없어요🙅. 카페인이 함유된 차를 마실 때는, 물이 뜨거울수록 카페인 함량이 높아진다고 하니, 우릴 때 미지근한 물로 우려내면 카페인 함량을 낮추는 데에 도움이 된다고 해요!로즈마리차: 향이 강해 호르몬의 균형에 영향을 줘요.차 한두 잔은 호르몬의 불균형을 줄 정도로 큰 영향을 미칠 수 없다는 것이 의학계의 입장이지만, 과도한 양의 에센셜 오일이나 허브🌿는 안전하다는 검증 또한 되지 않았으니 복용을 줄여보는 것이 좋아요.칡차: 철분 흡수를 방해해요.&nbsp;칡 속에는 탄닌 성분이 들어있다고 해요. 그런데 탄닌은 철분과 결합해 탄닌산철을 만들어내는 경향이 있어, 체내의 철분 흡수율을 감소시킬 수 있어요. 철분은 임신 중 증가하는 혈액량🩸과 태아의 산소 및 영양공급을 위해 꼭 보충해야 하는 영양소이므로, 칡 섭취를 미뤄보아요!율무차: 몸을 차게 하고 지방질과 수분을 막아요율무차를 임산부가 마시면 안 된다는 견해는 한의학에서 비롯되었어요. 율무의 한약명은 &#39;의이인&#39;인데, 의이인이 우리 몸에 불필요한 수분과 노폐물💧을 빼주는 이뇨 작용이 있는 한약재라고 해요. 설사를 하거나 몸이 붓고 아플 때도 많이 쓰이는 재료이며, 자궁근의 흥분 작용과 배란 촉진 작용이 있다고 알려져 있어요. 그래서 한의학에서는 율무를 임신 중 신중하게 사용할 약재로 분류하고 있어요.유즙 감소 위험이 있다는, 인삼차인삼은 역시 한의학에서 유즙을 감소시킬 위험💥이 있다고 알려져 있어요. 식욕부진ㆍ소화불량ㆍ구토ㆍ설사 등에 효과적인 약재이지만, 유즙 분비를 억제하므로 젖을 떼려고 하거나 유즙의 찌꺼기가 쌓여 유방이 아픈 여성에게 권해진다고 해요. 따라서, 수유 기간에는 음용을 피하는 것이 한의학에서 권장된다고 해요. <a href="https://app.babybilly.app/cw237f"></a>

마셔도 될까 고민되는 임산부 차!

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้เรามีโอกาสได้พูดคุยจากคนต่างชาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเมื่อทำงานก็มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ดังนั้นการสอนให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาก็จะทำให้ลูกได้เปรียบ ซึ่งเราจะมีวิธีสอนลูกอย่างไรให้ลูกสามารถพูดสองภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>กลยุทธ์การสอนภาษาที่สองให้ลูก<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2811/02b963da-73a5-46ef-aa16-b55346fac01c.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ควรจะสอนลูกพูดภาษาที่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ดี?คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกพูดภาษาที่สอง🔤ได้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ได้เลยค่ะ โดยอาจอ่านนิทาน หรือ เปิดเพลงให้ฟังโดยใช้ภาษาที่สองก็จะทำให้ลูกทำความคุ้นเคยและเริ่มรับรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะหากคุณแม่พูดกับลูกในครรภ์🤰บ่อยๆ ลูกก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความคุ้นเคยกับมันค่ะ&nbsp;หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสอนต่อได้เลยจนลูกอายุ 7 ขวบ เพราะหลังจากนั้นลูกจะมีความคิดเป็นของตนเองและอาจต่อต้าน หรือ อาจรู้สึกสับสน รวมถึงยังเป็นวัยที่เข้าเรียนและได้รับการเรียนจากโรงเรียน🏫แล้วด้วยค่ะ&nbsp;คุณพ่อคุณแม่คือกุญแจสำคัญเทคนิคที่ดีที่สุดในการสอนลูกพูดสองภาษาคือตัวคุณพ่อ👨และคุณแม่👩เองค่ะ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่พูดภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวันทุกๆวันๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติลูกก็จะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งภาษา🔤ที่ใช้ในทุกๆวัน โดยเวลาคุยกับลูกก็ไม่ควรแปลให้ลูก ให้เริ่มพูดคำง่ายๆก่อนเช่น Dog, Go, Yes, No แล้วค่อยพูดยาวๆเป็นประโยคก็จะทำให้ลูกค่อยๆเข้าใจเองค่ะ&nbsp;<hr>วิธีทำให้ลูกจดจำได้ง่ายขึ้น<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2811/b2348de6-6aa2-40cf-8391-07d3ea8352e9.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เปิดการ์ตูนให้ลูกดู📺คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดการ์ตูนที่เป็นภาษาที่สองให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกซึมซึบสำเนียงและการออกเสียงที่ถูกต้อง อาจเปิดเพลงที่เป็นภาษาที่สอง หรือ อ่านนิทานภาษาที่สองให้ลูกฟัง เมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะทำให้ลูกจดจำคำศัพท์ต่างๆได้ดีขึ้นค่ะ&nbsp;โปสเตอร์ภาษา หนัง หนังสืออ่าน📖ก็เป็นอีกตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อสอนภาษาที่สองให้เจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกภาษาที่สองผ่านกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่ควรทำให้เป็นเรื่องที่จริงจังเพราะลูกจะเกิดการต่อต้านและจะไม่อยากเรียนรู้ค่ะ&nbsp;ทำกิจกรรมอื่นพร้อมกับสอนภาษาไปด้วยเมื่อทำกิจกรรมพร้อมๆกับการเรียนรู้ภาษา🔤จะทำให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยออกไปข้างนอกลองชวนลูกพูดคุยและลองบอกคำศัพท์ต่างๆ เมื่อพบสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตต่างๆระหว่างทาง หรืออาจเปิดเพลง🎶ภาษาที่สองให้ลูกเต้นตามจังหวะเพลงไปด้วย หรือจะชวนลูกดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่มีซับ เพื่อให้ลูกได้ดูและฟังการกระทำของตัวละคร และจับความหมายของคำพูดนั้นๆ<hr>อยากให้พูดเก่งต้องให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2811/8a8ddc4c-7c2c-4bee-8d34-f7bc23f7c0aa.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">วิธีทำให้ลูกคิดเป็นภาษาที่สองเทคนิคสำคัญที่ทำให้ลูกเก่งพูดสองภาษาคือการฝึกให้ลูกคิดเป็นภาษาอังกฤษ🔤แล้วสื่อสารออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยพยายามสื่อสารกับลูกด้วยภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องแปลความหมายให้ฟัง แม้ว่าในช่วงแรกของการพูดลูกอาจจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดถึงอะไร คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถบอกใบ้โดยการชี้หรือทำท่าทางประกอบเพื่อให้ลูกเข้าใจ แทนการแปลหรือบอกให้ลูกฟังแล้วลูกจะเข้าใจได้เองค่ะ&nbsp;ใช้ความอดทนการจะฝึกให้ลูกพูดภาษาที่สองนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทน และรอให้ลูกเรียนรู้ คอยพูดคุยกับลูกเป็นภาษาที่สอง และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จลูกก็จะมีกำลังใจในการพูดและเรียนรู้เองค่ะ&nbsp;

เคล็ดลับฝึกให้ลูกพูดสองภาษาตั้งแต่เด็ก

&nbsp; &nbsp; &nbsp;การสอนลูกๆของเราให้จัดเตียงนอนเองเป็นกิจกรรมเล็กๆ ที่มีความสำคัญมากที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้กับลูกๆได้นะคะ เพราะสามารถส่งผลเชิงบวกต่อกิจวัตรประจำวันของพวกเขาและการพัฒนาโดยรวมของเด็กๆที่กำลังเรียนรู้ด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมและปลูกฝังวินัยให้กับลูกๆ โดยเปลี่ยนการจัดเตียงที่น่าเบื่อให้เป็นกิจกรรมที่สนุกได้ ในบทความนี้จะพูดถึงความสำคัญของการสอนลูกให้จัดเตียง และวิธีสอนลูกๆจัดเตียงของตัวเองด้วยค่ะ💁‍♀️<hr>ความสำคัญของการสอนลูกๆให้จัดเตียงนอนเองการที่คุณพ่อคุณแม่สอนลูกๆให้จัดเตียงของพวกเขาเองเป็นการปลูกฝังวินัย ความรับผิดชอบ และความรู้สึกถึงความสำเร็จ🎯โดยจะกำหนดบรรยากาศของวันและสร้างกิจวัตรที่สามารถส่งต่อไปยังด้านอื่นๆ ของชีวิตได้นะคะ เด็กๆ เรียนรู้ที่จะเป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนตัวของตนเองและพัฒนาความรู้สึกภาคภูมิใจในการทำงานให้เสร็จด้วยการจัดเตียงค่ะ ซึ่งการจัดเตียงของตัวเองอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับวุฒิภาวะและความสามารถของเด็กๆ อาจเริ่มต้นทำง่ายๆก่อน เช่นการพับผ้าห่มและจัดวางไว้ให้เรียบร้อย🛌 อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแนะนำให้เริ่มสอนทักษะนี้เมื่อลูกๆ อายุประมาณสี่หรือห้าขวบ ในขั้นตอนนี้ เด็กๆ สามารถเข้าใจและทำตามคำแนะนำง่ายๆ ได้ ทำให้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะแนะนำนิสัยเล็กๆ น้อยๆค่ะ<hr>คุณประโยชน์สี่ประการของการจัดเตียงด้วยตนเองการฝึกวินัยและความรับผิดชอบ🫡การจัดเตียงต้องมีวินัยและความสม่ำเสมอ การสอนเด็กๆ ถึงความสำคัญของการทำงานให้เสร็จสิ้น แม้ว่าพวกเขาอาจไม่รู้สึกอยากทำก็ตาม แนวทางปฏิบัตินี้ส่งเสริมความรู้สึกรับผิดชอบและกระตุ้นให้พวกเขาเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่อาศัยของตนค่ะลดการสะสมของเชื้อโรคในที่นอน🦠เด็กๆ ช่วยกันปูเตียงเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่น สิ่งสกปรก และสารก่อภูมิแพ้บนที่นอน สิ่งนี้ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีและมีส่วนทำให้สภาพแวดล้อมในการนอนหลับสะอาดขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และปัญหาระบบทางเดินหายใจค่ะส่งเสริมการนอนหลับให้ดีขึ้น😴&nbsp;เตียงที่จัดอย่างดีสามารถช่วยให้สภาพแวดล้อมการนอนหลับสบายและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เด็กจัดเตียงอาจมีคุณภาพการนอนหลับดีขึ้น เนื่องจากรู้สึกผ่อนคลายและเป็นระเบียบมากขึ้นในพื้นที่ส่วนตัวค่ะผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพจิต👶&nbsp;การพัฒนานิสัยการจัดเตียงสามารถส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตของเด็กได้ มันให้ความรู้สึกถึงความสำเร็จและความเป็นระเบียบ สร้างบรรยากาศที่สงบและเป็นระเบียบซึ่งสามารถส่งผลเชิงบวกต่ออารมณ์และสุขภาพจิตโดยรวมของพวกเขาได้ค่ะ<hr>4 วิธีในการช่วยให้ลูกจัดเตียงของตัวเองคุณพ่อคุณแม่ทำเป็นตัวอย่าง👨‍👩‍👧&nbsp;แสดงให้ลูกของคุณเห็นความสำคัญของการจัดเตียงโดยจัดเตียงของคุณเองอย่างสม่ำเสมอ เด็กๆ มักจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ ดังนั้นการกระทำของคุณจึงเป็นเครื่องมือการสอนที่ทรงพลังได้นะคะเน้นย้ำถึงคุณประโยชน์&nbsp;สื่อสารถึงประโยชน์ของการจัดเตียงเป็นประจำให้ลูกๆฟัง🗣️ โดยเน้นว่าการจัดเตียงมีส่วนช่วยให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีและมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดได้อย่างไร ช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงผลกระทบเชิงบวกที่งานเล็กๆ นี้อาจมีต่อชีวิตของพวกเขาได้ค่ะหลีกเลี่ยงความกดดัน&nbsp;คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความอดทนและเข้าใจว่าลูกของคุณอาจลืมจัดเตียงเป็นครั้งคราวได้ แทนที่จะกดดันหรือดุด่าพวกเขา ให้เตือนพวกเขาอย่างอ่อนโยนเกี่ยวกับความสำคัญนี้ และไม่ตั้งความคาดหวังสูงเกินไป และกระตุ้นให้พวกเขาลองอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น การเสริมแรงเชิงบวกและการชี้แนะที่อ่อนโยนคือกุญแจสำคัญ🗝️ที่จะช่วยให้ลูกๆมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตังเองได่ค่ะรางวัลและแรงจูงใจ&nbsp;เพื่อให้ลูกๆมีแรงจูงใจเพิ่มเติม คุณพ่อคุณแม่สามารถพิจารณาการนำระบบการให้รางวัลมาใช้ได้นะคะ สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างเช่นการชมเชย👏ความพยายามของพวกเขาหรือเสนอสิ่งจูงใจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อพวกเขาจัดเตียงอย่างสม่ำเสมอ เพราะรางวัลสามารถช่วยเสริมสร้างนิสัยและทำให้กระบวนการนี้สนุกสนานสำหรับลูกๆของคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นค่ะ

สอนลูกให้จัดเตียงนอนเอง เรื่องง่ายๆที่แม่ต้องฝึกลูก

หากลูกน้อยเป็นหวัดคงทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่อาจสงสัยว่าควรดูแลลูกน้อยอย่างไรดี หรือให้ลูกรับประทานยาได้หรือไม่ ทว่าปัญหานี้สามารถรับมือได้ โดยควรศึกษาข้อมูลเพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจอาการหวัดในทารก และเตรียมพร้อมดูแลเจ้าตัวเล็กให้อาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ<hr>ทารกเป็นหวัด สังเกตอย่างไร ?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2351/85706289-b8fb-4f98-a996-438bf4ac1070.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨อาการเมื่อเป็นหวัดลูกจะมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ โดยน้ำมูกอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขียว หรือเทา และอาจมีไข้ร่วมด้วย🤒 และแม้ว่าทารกจะเป็นหวัด แต่ก็อาจจะรับประทานอาหารและเล่นเป็นปกติค่ะ&nbsp;✨อาจเป็นโรคอื่นๆ&nbsp;หากลูกน้อยไม่ยอมรับประทานอาหาร ร้องไห้แบบไม่ค่อยมีแรง และดูเซื่องซึมผิดปกติแปลว่าอาจเป็นโรคอื่นๆ ที่ไม่ได้หวัดก็ได้ค่ะ เช่นการติดเชื้อไวรัสในทางเดินอาหาร โรคภูมิแพ้เป็นต้น ทั้งนี้หากทารกมีอายุน้อยกว่า 3 เดือน และมีอาการเป็นหวัด หรือมีไข้ ควรพาไปหาหมอ👩&zwj;⚕️จะดีที่สุดค่ะ&nbsp;<hr>วิธีการรับมือเมื่อทารกเป็นหวัด<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2351/8cda7e63-0748-42fc-9b5e-82ef5bca63ba.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ยาพาราเซตามอลหากลูกน้อยอายุ 4 เดือนขึ้นไป จะสามารถใช้ยาพาราเซตามอลช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ควรปรึกษากับแพทย์👩&zwj;⚕️เพื่อใช้ยาตัวที่เหมาะสมและไม่ควรซื้อมาให้ลูกทานเองนะคะ&nbsp;✨จัดการเสมหะเนื่องจากทารกยังมีกล้ามเนื้อที่ไม่ค่อยแข็งแรงจึงทำให้มีเสมหะอยู่ในลำคอ &nbsp;คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยโดยการทำไอความร้อน😶&zwj;🌫️ อาจเปิดน้ำร้อนในห้องน้ำ หรือ อาจต้มน้ำร้อนมาวางไว้ในห้อง เพื่อให้ไอความร้อนช่วยละลายเสมหะออกไป โดยควรอยู่ห่างจากทารกพอควร✨ล้างจมูกคุณพ่อคุณแม่อาจล้างจมูกให้ลูกน้อยโดยการใช้กระบอกฉีดยา💉ที่มีขนาดเล็ก โดยฉีดยาเข้ารูจมูกเอียง 45 องศา ให้ไหลผ่านโพรงจมูก หรืออาจใช้สเปรย์พ่นจมูก หรือ น้ำเกลือหยอดล้าง ซึ่งจะสามารถหาได้ตามร้านขายยาทั่วไป<hr>เมื่อไรควรพาเด็กไปพบแพทย์ ?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2351/db47d079-7d47-456f-a9e0-76a6900a1d10.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากพบว่าลูกมีอาการเป็นหวัดนานกว่า 3 วัน หรือมีอาการไอไม่หยุด หายใจลำบากควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์👩&zwj;⚕️โดยด่วน เพราะอาจเป็นอาการของโรคปอดบวม✨ควรพาพบแพทย์เมื่อรวมถึงหากลูกน้อยไม่ยอมทานนม มีไข้สูง🤒 หายใจลำบาก มีอาการไออย่างรุนแรง (โรคไอกรน) หรือ มีภาวะขาดน้ำ หรือไม่ปัสสาวะเลย 6 ชั่วโมง ควรพาพบแพทย์ทันทีค่ะ&nbsp;<hr>ป้องกันลูกน้อยจากหวัดได้อย่างไร?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2351/145cd85f-29cc-4e7d-a417-dba9859439e2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨หลีกเลี่ยงผู้ที่เป็นหวัดเราอาจไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถช่วยลดโอกาสที่เชื้อหวัด🤧จะเข้าสู่ร่างกายของลูกได้ โดย... พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกอยู่ใกล้กับผู้ที่เป็นหวัดจนกว่าจะหายเป็นปกติ✨ดื่มน้ำบ่อยๆพยายามให้ลูกดื่มน้ำ🌊หรือนมบ่อยๆ (นมแม่ นมขวด OK!) เพื่อป้องกันไม่ได้ลูกขาดน้ำ โดยเมื่อลูกอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ลูกควรจะปัสสาวะมากกว่า 5 ครั้งต่อวันค่ะ✨พยายามให้ลูกล้างมือให้สะอาดร้อยละ 80 ของเชื้อโรคนั้นสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส และมือ✋ก็เป็นส่วนที่เราจะชอบนำมาจับหน้าจับตาบ่อยที่สุด ดังนั้นการล้างมือให้สะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยควรให้ทุกคนในบ้าน หรือ คนที่จะมาสัมผัสกับลูกล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง รวมถึง ควรล้างมือลูกให้สะอาดด้วย และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จคุณพ่อคุณแม่ก็ควรล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอค่ะ✨ควันบุหรี่ NO NO!ควันบุหรี่🚬สามารถส่งผลกระทบต่อทางเดินหายใจส่วนบนของลูกได้ จะพบว่าทารกที่อยู่ร่วมกันกับผู้ที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเป็นหวัดได้ง่ายกว่าทารกทั่วไป และจะหายช้าด้วยค่ะ

ลูกน้อยเป็นหวัดจัดการอย่างไรดี

เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์🤰แล้วนะคะ ใกล้ได้เจอหน้าเจ้าตัวเล็กแล้ว! แต่ในขณะเดียวกันคุณแม่หลายๆ ท่านก็อาจพบปัญหาในการหาท่านอนที่เหมาะสม🛏️เพราะครรภ์ของคุณแม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นมากนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำท่าที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 กันค่ะ ไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ!<hr><h3 class="vb_h2">นอนท่าไหนดีนะ</h3>ท่านอนไหนสบายที่สุด?จริงๆ แล้วท่าที่สบายที่สุดสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 คือท่านอนตะแคง เนื่องจากว่าเป็นท่าที่คุณแม่ไม่ต้องแบกท้องหนักๆ🤰ไว้ และมดลูกของคุณแม่ได้ขยายตัวเต็มพื้นที่ทำให้เวลานอนตะแคงจะไม่เสียดด้านใดด้านหนึ่งเหมือนตอนครรภ์อ่อนๆ และในไตรมาสสุดท้าย น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คุณแม่ปวดหลัง ปวดขา🦵 ปวดเท้า มีผลทำให้คุณแม่นอนหลับยากขึ้น&nbsp;เทคนิคการนอนหลับให้สบายเทคนิคการนอนง่ายๆ คือ ลองเตรียมหมอนใบเล็กๆ หนุนรองช่วงท้องเพื่อช่วยรับน้ำหนักและเพิ่มความสะดวกในการขยับพลิกตัว และเมื่อพลิกตัวให้พลิกทั้งตัวอย่างช้าๆ หากเป็นตะคริวตอนนอนให้เตรียมหมอนอีกใบเพื่อหนุนให้ปลายเท้าสูงกว่าศีรษะ จะช่วยลดอาการปวดเกร็ง และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นค่ะ🩸&nbsp;<hr><h2 class="vb_h2">ทำไมลูกถึงดิ้นเวลานอนตะแคง</h2>เหตุผลที่ลูกดิ้นทารกในครรภ์จะมีถุงน้ำคร่ำบรรจุอยู่ หากนอนตะแคงด้านไหน ทารกก็จะหมุนกลิ้งในน้ำคร่ำแล้วไปปูดที่อีกฝั่งของท้อง🤰 ดังนั้นการที่ลูกในท้องดิ้นมากเวลาที่แม่ท้องนอนตะแคงไม่ใช่สิ่งที่อันตรายนะคะ แต่คุณแม่ควรเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ เนื่องจากการนอนท่าเดิมนานๆ จะทำให้กดทับซี่โครงหรือสะโพกได้ เวลานอนให้หาหมอนหนุนหลัง ท้อง และสอดระหว่างขา จะทำให้นอนหลับได้สบายขึ้นค่ะ🛏️<hr>สาเหตุที่ทำให้คนท้องนอนหลับยากเหตุผลที่ทำให้คุณแม่นอนหลับยากหญิงที่ตั้งครรภ์มักจะนอนหลับยาก💤 เพราะจะต้องพลิกตัวบ่อยๆด้วยขนาดของท้องที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงคนท้องก็จะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสรีระ รวมถึงคุณแม่จะมีอาการเท้าบวม🦶 ปวดขา ปวดหลัง และเกิดตะคริวบ่อยๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็จะทำให้คุณแม่เกิดความเครียดขึ้นมาและมีส่วนทำให้นอนไม่หลับนั่นเองค่ะวิธีรับมือมีวิธีการรับมืออย่างง่ายๆ คือก่อนนอนอาจฝากให้คุณพ่อช่วยเตรียมน้ำอุ่นๆ🛁ให้เพื่อแช่เท้าของคุณแม่โดยระหว่างที่แช่ก็อาจให้คุณแม่นอนเท้าให้เพื่อลดอาการบวม ให้แช่ไว้ประมาณ 15-20 นาทีก็จะทำให้อาการบวมลดลงและทำให้หลับสบายขึ้นค่ะอีกวีธีนึงที่สามารถทำได้คือให้หาหมอนแข็งมาหนุนที่ขาให้สูงกว่าศีรษะเพียงเล็กน้อย จำช่วยลดการเป็นตะคริว และเท้าบวม รวมถึงช่วยให้ระบบไหลเวียดเลือด🩸ดีขึ้นด้วยคุณแม่อาจลองหาหมอนใบเล็กๆมาหนุนด้านหน้าของท้องเพื่อช่วยพยุง และหาหมอนใบใหญ่มาช่วยหนุนที่หลังเพื่อประคองกล้ามเนื้อหลัง เท่านั้นร่างกายก็จะรู้สึกเมื่อยน้อยลงแล้วล่ะค่ะ

ท่านอนที่เหมาะสมในไตรมาสที่ 3

ธาลัสซีเมียคือโรคที่หลายๆคนเคยได้ยินและรู้จักกันมาบ้าง ซึ่งหากโรคนี้เกิดในหญิงตั้งครรภ์แล้วจะมีความอันตรายขนาดไหนวันนี้เราไปดูพร้อมๆกันค่ะ&nbsp;<hr>ทำความรู้จักกับโรคธาลัสซีเมีย<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3047/be743d84-83bd-480d-9525-73e16e8202a6.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ซึ่งเป็นโรคเลือดจางชนิดหนึ่ง🩸 โดยร่างกายของผู้ป่วยจะไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินได้ตามปกติจึงทำให้มีเม็ดเลือดแดงที่เปราะและแตกง่าย จนทำให้มีภาวะเลือดจางเรื้อรัง เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมได้ โดยในบางคนนั้นจะมีเป็นเพียงยีนแฝง🧬ที่ไม่ได้แสดงอาการของโรคอยู่ในตัว แต่ก็สามารถเป็นพาหะถ่ายทอดต่อให้ลูกได้นั่นเองค่ะ&nbsp;<hr>ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงแค่ไหน?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3047/b749088c-ee7c-48b4-a703-9641b0ade809.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">สามารถถ่ายทอดผ่านยีน&nbsp;โรคธาลัสซีเมียนั้นสามารถถ่ายทอดผ่านทางยีนได้🧬 &nbsp;ดังนั้นหากคุณแม่ที่ตั้งครรถ์เป็นพาหะหรือมียีนแฝงของโรค ก็จะสามารถส่งต่อให้ลูกได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรเข้ารับการตรวจว่ามียีนแฝงของธาลัสซีเมียหรือไม่โอกาสที่ทารกในครรภ์จะได้รับเชื้อหากพบว่าคนใดคนหนึ่งเป็นพาหะ ก็มีโอกาสที่ทารก👶ในครรภ์จะได้ยีนแฝงนี้ไป 25% แต่หากพบว่าเป็นทั้งคู่ ทารกก็จะเป็นธาลัสซีเมีย 100%&nbsp;<hr>ธาลัสซีเมียอันตรายต่อทารกในครรภ์ขนาดไหน? มีวิธีการรับมืออย่างไร?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3047/12240255-1773-4fbf-b72d-2c9dd2871bf7.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ความรุนแรงของโรคธาลัสซีเมียความรุนแรงของโรคธาลัสซีเมียในเด็กที่เกิดมานั้นมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง บางคนอาจมีอาการเจ็บป่วยบ่อย โตช้า บวมน้ำ โหนกแก้มสูง เตี้ย ฟันยื่น ซีด ตับและม้ามโต ตาเหลือง หรือคุณแม่🤰อาจเกิดครรภ์เป็นพิษและทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้&nbsp;วิธีรับมือโรคธาลัสซีเมียสำหรับผู้ที่เป็นเพียงพาหะธาลัสซีเมียจะไม่มีอาการของโรคจึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและไม่ต้องทานยาใดๆ แต่หากเป็นโรคธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษากับคุณหมอ👨&zwj;⚕️เพื่อรักษาตามชนิดที่เป็นค่ะ&nbsp;

ธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ อันตรายขนาดไหน?

หลายๆคนคงเคยได้ยินความเชื่อหลายๆอย่างที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรทำเช่น การย้อมผม การถือของมีคม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของการห้ามขึ้นเครื่องบินด้วย แต่แท้ที่จริงแล้วคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่จะไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้จริงหรือไม่นั้น อันตรายขนาดไหน เราไปพบคำตอบกันดีกว่าค่ะ&nbsp;<hr>คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถขึ้นเครื่องบินได้หรือไม่?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3172/e1650895-35ce-4e6f-bdf4-6917ce762787.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">สายการบินส่วนใหญ่จะอนุญาตให้หญิงตั้งครรภ์ขึ้นเครื่อง✈️ได้จนอายุครรภ์ 36 สัปดาห์เท่านั้น นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วหากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรงดี การเดินทางด้วยเครื่องบินก็จะไม่ได้มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์&nbsp;แต่ที่สายการบินอนุญาติให้ขึ้นเครื่องได้จนถึงอายุครรภ์ 36 สัปดาห์🤰นั้น นั่นเป็นเพราะสายการบินมีความกังวลว่า หญิงที่ตั้งครรภ์อาจจะคลอดบนเครื่องบินที่กำลังบินอยู่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ตามข้อกำหนดบังคับสายการบินจะต้องมีค่าใช้จ่าย💸ที่จะต้องเสียเพิ่ม แถมยังไปรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นๆในลำอีกด้วย<hr>การขึ้นเครื่องในไตรมาสต่างๆ<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3172/6cab3931-3665-4c68-a010-109652113b1d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ไตรมาสแรก&nbsp;ในไตรมาสแรกถือว่าเป็นช่วงที่คุณแม่🤰 จะสามารถขึ้นเครื่องได้อย่างปลอดภัย และเครื่องตรวจจับโลหะที่ใช้ในตรวจก่อนขึ้นเครื่องนั้นไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่จะต้องระวังเรื่องของการเกิดลิ่มเลือด🩸 ซึ่งหากเดินทางบนเครื่องนานก็จะยิ่งเสี่ยงมาก เพื่อลดความเสี่ยงคุณแม่สามารถเลือกที่นั่งริมทางเดินเพื่อที่จะขยับร่างกาย ลุกเดินระหว่างไฟล์ได้ค่ะ&nbsp;ไตรมาสที่ 2เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเดินทาง เพราะอาการแพ้ท้องของคุณแม่เริ่มดีขึ้น หากคุณแม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน✈️ ให้ตรวจเช็คโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สนามบินเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อนป้องกันเหตุไม่คาดฝันค่ะ&nbsp;ไตรมาสที่ 3&nbsp;ถือว่าเป็นไตรมาสที่เสี่ยงมากสำหรับการเดินทางไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 สามารถเดินทางได้ แต่ร่างกายจะต้องแข็งแรงมากเพียงพอ โดยสิ่งที่คุณแม่จะต้องระวังคือการภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หรือในกรณีที่ทารกคลอดก่อนกำหนดโดยที่คุณแม่ก็คาดไม่ถึง<hr>ช่วงไหนต้องระวัง ไม่ควรขึ้นเครื่อง?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3172/142a043f-2e55-4b17-98e1-066418912d5b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ส่วนใหญ่หากคุณแม่ที่มีอายุครรภ์🤰มากกว่า 28 สัปดาห์ควรจะเลี่ยงการขึ้นเครื่อง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้กำหนดคลอด ซึ่งคุณแม่อาจเสี่ยงน้ำเดิน หรือ เจ็บท้องคลอดบนเครื่อง สายการบินจึงมักจะไม่อนุญาตให้คุณแม่ที่มีอายุครรภ์เยอะขึ้นเครื่อง ข้อกำหนดนั้นจะแตกต่างกันไป ตามแต่ละที่ ซึ่งหากได้ใบรับรองแพทย์ว่าคุณแม่สามารถเดินทางได้ (อายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์) ทางสายการบินก็จะอนุญาติให้ขึ้นเครื่องได้เป็นกรณีพิเศษ อย่างไรก็ตามคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวาน หรือมีความดันโลหิตสูง ควรจะปรึกษากับคุณหมอ👨&zwj;⚕️ก่อนเดินทางนะคะ&nbsp;

อายุครรถ์เท่าใดจึงไม่ควรขึ้นเครื่องบิน? ตั้งครรภ์สามารถขึ้นเครื่องบินได้ไหม?

임신을 했는데 속이 왜 이렇게 불편한거죠?😥 임신 전과 다르게 너무 답답하고 잘 먹지도 못하겠어요. 혹시 이런 변화가 아기에게 영향을 미치는 것은 아닌지 걱정도 많이 되구요. 이런 증상은 왜 나타나는 지, 어떻게 하면 좋을 지 알려주세요!<hr>먹지도 않았는데 배가 부르다?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/d4e747e4-17da-4eb8-b378-6c3a42d62013.webp" class="fr-fic fr-dib">아이고 내 배야..임신 초기식사를 한 지 한참이 되었는데도 방금 밥을 먹은 사람처럼 배가 빵빵하고 입맛이 없는 경우를 `헛배부름`이라고 정의하곤 해요.👩&zwj;🏫 임신초기 속이 더부룩한 증상은 보통 6주차 내외의 임산부에게 나타나는 증상이에요.&nbsp;임신을 하게 되면 가장 눈에 띄는 몸의 변화는 임신부의 호르몬이 변화하는 것이에요. 호르몬의 변화로 임산부는 속이 메스껍고 위장의 소화가 잘 안 되는 듯한 현상이 발생해요.😩임신 중, 후기임신 단계가 지속되면 호르몬 변화뿐만 아니라 자궁 자체가 커지면서 위장을 압박하여 헛배부름이 생기기도 해요.💨 이 경우는 임신 전과 식사량이 동일한데도 오히려 과식한 이후의 상태처럼 속이 부대끼고 소화가 잘 안 될 수 있어요. 또, 음식 냄새를 맡거나 식사를 하고 나면 소위 말하는 입덧 증상 중 하나인 속이 메스껍거나, 속쓰림 현상이 발생하기도 해요.💥<hr>헛배부름에 속아 끼니를 거르지 않기!&nbsp;<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/cbc4eeca-1ef4-4c24-b41e-f48a223b653e.webp" class="fr-fic fr-dib">지금 내가 먹는건, 아기가 먹는 거라구!더부룩함이 오히려 태아에게 좋아?일단 헛배부름으로 인해 끼니를 자주 거르게 되면 영양이 부족해지는 것은 당연해요. 임신 초기 엄마가 느끼는 속이 더부룩한 증상은 소화가 느려지는 효과가 있어 태아에게는 오히려 영양분을 섭취하기 좋은 환경으로의 몸을 만들어 준다고 해요.💡속이 쓰려도, 약물 섭취는 전문의에게 확인일단 속이 쓰리니, 임신 초기에 제산제를 먹고 싶은 엄마들이 있을 거예요.😥 하지만, 주치의 판단 없이 자의적으로 약물을 섭취하는 것은 태아에게 위험할 수 있어요. 뿐만 아니라 입덧으로 속이 좋지 않은 경우는 제산제가 큰 도움이 되지 못할 수 있어요.&nbsp;아빠, 엄마의 식단을 신경써 주세요!만일 이 글을 보는 아빠👨🏻라면 아내가 속이 더부룩하다고 끼니를 자주 거르지는 않는지 체크하며 적절한 식사와 영양 섭취를🥗 할 수 있도록 곁에서 세심하게 신경 써주세요!<hr>심한 입덧은 약물 치료가 권장돼요!<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/f20722e9-e957-488b-9dbc-844baad27291.webp" class="fr-fic fr-dib">병원에 가는 것이 좋다니까~! 내 말 믿어봐~심한 입덧, 참지마세요!임신 초기의 입덧을 경험하는 많은 임신부가 너무 심한 증상에도 불구하고 아기를 위해 참고 감내하시는 분들이 많아요! 하지만 전문의들은👩🏻&zwj;⚕️ 심한 입덧은 꼭 내원하여 약물 치료를 병행하자고 말한답니다. 증상이 심하면 탈수, 영양불량, 전해질 불균형을 유발시켜 입원 치료를 필요로 하는 경우도 있기 때문에 무조건 참지만 말고 안전을 위해 꼭! 병원을 방문해 주세요.💊 &nbsp;16주 이후에도 입덧이 지속된다면?입덧은 임신 초기가 지나면 자연스레 좋아지지만 만일 임신 16주 이후에도 입덧과 소화 불량 현상이 지속된다면 반드시 전문의와 상담해주세요. 이 시기에 항히스타민제, 항도파민제 등의 입덧 치료는 태아의 위험을 증가시키지 않으므로 충분한 치료를 받을 수 있답니다.🙌 <a href="https://billyapplication.page.link/?link=https://billyapplication.page.link/community&apn=kr.villagebaby.billyapplication&isi=1497301126&ibi=kr.villagebaby.billyapplication&ofl=https://babybilly.app"></a>

임신 초기, 헛배부름과 더부룩함이 있어요.

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่คงเคยได้ยินว่าการลูบท้องเปรียบเสมือนอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของทารกภายในครรภ์ได้ แต่จริงๆแล้วการลูบท้องนั้นดีต่อทารกในครรภ์ในด้านใดบ้าง วันนี้ทางเราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้คุณแม่ทราบพร้อมๆกันแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>การลูบท้องมีข้อดียังไงบ้าง?การที่คุณแม่ลูบท้องเป็นประจำนั้นจะส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง🧠และความเฉลียวฉลาดของทารกได้ เมื่อมือของคุณแม่สัมผัสกับผนังด้านในของมดลูก คุณแม่จะสังเกตได้ว่าทารกในครรภ์จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบมาเหมือนกำลังเล่นกับแม่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว หรือการขยับตัว วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แถมยังทำให้ทารกเป็นเด็กอารมณ์ดี🥳 มีจิตใจที่สงบ และยังทำให้เป็นเด็กฉลาดอีกด้วย ซึ่ง 4 ข้อดีในการลูบท้องมีดังต่อไปนี้&nbsp;✨ข้อที่ 1การที่คุณแม่ลูบท้องบ่อยๆจะสามารถช่วยในการพัฒนาเส้นใยประสาทของสมองส่วนรับความรู้สึกให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความไวในการรับรู้ของเจ้าตัวน้อย👶 และพัฒนาการทางด้านร่างกายอีกด้วยเช่นกัน✨ข้อที่ 2การลูบท้องถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยสร้างความอบอุ่น💞ระหว่าง คุณพ่อ คุณแม่ และเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้อง ให้มีสายใยแห่งความผูกพันที่ดีต่อกัน✨ข้อที่ 3การลูบท้องจะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 26 สัปดาห์🤰 เพราะในช่วงนี้ระบบประสาทเกี่ยวกับความรู้สึกของทารกกำลังพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ทารกสามารถซึมซับและรับความรู้สึกต่างๆผ่านการสัมผัสบนหน้าท้องของคุณแม่ได้นั่นเอง✨ข้อที่ 4การลูบท้องยังมีอีกข้อดีคือเป็นการทำให้เจ้าตัวน้อยคุ้นเคยกับน้ำเสียง🗣️ของคุณพ่อและคุณแม่นั่นเอง และยังทำให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันแสนอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ที่มีต่อลูก<hr>เทคนิคง่ายๆในการลูบท้องเพื่อกระตุ้นสมองและพัฒนาการทารกในครรภ์👉เทคนิคที่ 1เพียงคุณแม่ใช้มือลูบบริเวณหน้าท้องเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของทารกในครรภ์ โดยให้คุณแม่ใช้มือลูบเป็นลักษณะวงกลม🤲 สามารถลูบจากบนลงล่าง หรือล่างขึ้นบนก็ได้เช่นกันค่ะ👉เทคนิคที่ 2ในขณะที่คุณแม่ลูบท้อง คุณแม่สามารถร้องเพลงเบาๆ🎤กล่อมลูก หรือจะพูดคุยไปพร้อมๆกับการลูบท้องด้วย ก็จะเป็นการกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีเหมือนกัน👉เทคนิคที่ 3คุณแม่ควรรวบรวมโดยการใช้หัวใจและความรู้สึก🥰ที่คุณแม่มีต่อลูกส่งผ่านมือไปด้วยระหว่างที่ทำการลูบหน้าท้อง เพราะเจ้าตัวน้อยสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่คุณแม่มีต่อเขานั่นเอง น่ามหัศจรรย์มากๆเลยใช่ไหมคะ!🤩👉เทคนิคที่ 4&nbsp;หากคุณแม่ได้ทำการลูบท้องตรงบริเวณเดิม หรือลูบท้องในช่วงเวลาเดิมเป็นประจำ⏰จะทำให้ทารกสามารถจดจำเวลาและบริเวณที่คุณแม่ลูบท้องได้ &nbsp;จนทำให้เขารู้สึกถึงความเคยชิน จนบางครั้งลูกอาจจะดิ้นรอก่อนที่แม่จะทำการลูบท้องแล้วนั่นเองค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบกันแล้วถึงประโยชน์จากการลูบท้องเพื่อกระตุ้นสมองและพัฒนาการของทารกในครรภ์👶 คุณแม่สามารถทำตามได้ง่ายๆ เพราะว่าเป็นวิธีที่คุณแม่ไม่ต้องลงทุนเลยด้วย เพียงแค่ใช้หัวใจและความรักของคุณแม่ผ่านการสัมผัสไปยังเจ้าตัวน้อยเท่านี้เองค่ะ อย่างไรก็ตามความเฉลียวฉลาดของทารกแต่ละคนนั้นล้วนมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม🧬 อาหารการกิน และรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆด้วยนะคะ&nbsp;

เทคนิคลูบท้องกระตุ้นสมองและพัฒนาการของทารกในครรภ์

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่หลายๆท่านต้องประสบกับปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยเหมือนคลื่นทะเล ทำให้หมดความมั่นใจที่จะใส่เสื้อเอวลอย ดังนั้นวันนี้ทางเราจึงรวบรวมวิธีกระชับหน้าท้องสำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดมาฝากกันแล้ว แถมยังเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เรามาดูไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>6 วิธีกระชับหน้าท้องหย่อนคล้อยหลังการผ่าตัดคลอดทางเราแนะนำให้คุณแม่เริ่มใช้วิธีกระชับหน้าท้องดังต่อไปนี้ได้ตั้งแต่ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 หลังผ่าตัดคลอดนะคะ1️⃣ ทานอาหารเพื่อสุขภาพการทานอาหารเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยทำให้หน้าท้องของคุณแม่กระชับขึ้น เพียงแค่คุณแม่ลดการทานอาหารจำพวก fast food อาหารสำเร็จรูป และของทอด เปลี่ยนมาทานผัก ผลไม้ ตัวอย่างเช่น ส้ม🍊 เบอร์รี่🍓 แซลมอน🍣 ไข่ ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด หรืออาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและคอลลาเจนสูงแทน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยกระชับหน้าท้องได้แล้วค่ะ &nbsp;2️⃣ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ฟังดูแล้วอาจจะเป็นวิธีที่แปลกใช่ไหมคะ แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่🤱ถือเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณแม่สามารถลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น เพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานในการผลิตน้ำนมแม่ จึงทำมีการเผาผลาญแคลอรีได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยเฉลี่ยคุณแม่สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 250 ถึง 500 แคลอรี่ต่อวัน🔥 มากกว่าหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและความถี่ในการให้นมลูกแต่ละครั้งด้วยนะคะ3️⃣ เดินมากขึ้นการเดิน🚶‍♀️ เป็นหนึ่งในวิธีออกกำลังกายที่ดีและง่ายที่สุดสำหรับคุณแม่หลังผ่า เพราะการเดินจะช่วยกระชับหน้าท้องหลังการผ่าตัดคลอดของคุณแม่ และยังสามารถช่วยให้ร่างกายคุณแม่เผาผลาญแคลอรี่ เสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยค่ะ โดยคุณแม่สามารถเดินเล่นที่บริเวณรอบบ้าน หรือนำเจ้าตัวน้อย👶ใส่รถเข็นไปเดินเล่นพร้อมกันที่สวนสาธารณะก็ดีนะคะ<hr>และรวมไปถึงวิธีเหล่านี้ด้วย4️⃣ ออกกำลังกายเบาๆการออกกำลังกายเบาๆ หลังการผ่าตัดคลอด ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางบริเวณหน้าท้องของคุณแม่ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยในกระบวนการฟื้นฟูและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บได้อีกด้วย สามารถทำให้ร่างกายของคุณแม่กลับมาฟิตแอนด์เฟิร์ม💪เหมือนก่อนตั้งครรภ์ได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ ตัวอย่างการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับคุณแม่หลังผ่าคลอด คือ การบริหารอุ้งเชิงกราน (pelvic) บริหารสะโพก (bridge hips) การแพลงก์ (plank) บริหารด้านข้าง (side lift) เป็นต้น ซึ่งการออกกำลังกายเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษและสามารถทำได้สะดวกทุกที่เลยล่ะค่ะ5️⃣ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆการดื่มน้ำ💧สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ เพราะน้ำถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และการดื่มน้ำยังช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ชำระล้างสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไปผ่านทางปัสสาวะและอุจจาระ💩ได้ดีขึ้นอีกด้วย&nbsp;6️⃣ ใส่กางเกงกระชับสัดส่วนวิธีการสุดท้าย คือ คุณแม่สามารถใช้ไอเท็มเสริมในการกระชับหน้าท้องที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น เช่น กางเกงกระชับสัดส่วน🩲 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยกระชับหน้าท้องหย่อนคล้อยหลังคลอดของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้หน้าท้องแบนราบมากยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทราบอย่างนี้แล้วคุณแม่ที่พึ่งผ่าคลอดมาใหม่ๆก็สามารถประยุกต์ใช้วิธีดังกล่าวเพื่อกระชับให้หน้าท้องที่หย่อนคล้อยกลับมาฟิตแอนด์เฟิร์มได้อีกครั้งแล้วนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถเริ่มออกกำลังกายได้เมื่อไหร่ แนะนำให้ปรึกษากับสูตินรีแพทย์👩‍⚕️ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าแผลฝีเย็บหายดีแล้วและมดลูกกลับมามีขนาดปกติ และหากคุณแม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์แล้ว คุณแม่ก็สามารถเริ่มต้นกระชับหน้าท้องหย่อนได้ทันทีค่ะ!

6 เคล็ดลับกระชับหน้าท้องสำหรับคุณแม่ผ่าคลอด

ทำไมทารกแรกเกิด- 3 เดือน บางคนถึงได้นอนเยอะและนอนน๊านนาน แต่ทารกบางคนถึงนอนน้อยและร้องไห้งอแงบ่อยๆ วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ<hr>การนอนของทารกแรกเกิด-3 เดือน<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2297/56139d5f-3d7c-456e-a219-9d3b419099d8.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ในช่วงแรกๆ ทารกมักจะนอนหลับในเวลากลางวัน และตื่นกลางคืนดังนั้น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งต้อนรับลูกน้อยจากโรงพยาบาลจะต้องปรับตัวและเรียนรู้กันอย่างมาก ซึ่งจริงๆแล้วเด็กแต่ละคนก็จะมีระยะเวลาการนอนที่แตกต่างกัน แต่ก็จะมีเวลาที่เหมาะสมที่คุณพ่อ👨คุณแม่👩สามารถอ้างอิงและจัดตารางเวลาในการนอนของลูกได้ดังนี้ค่ะ&nbsp;✨เวลานอนของเด็กแต่ละวัยประการแรกเด็กแต่ละวัยต้องการเวลานอนที่แตกต่างกันทารกแรกเกิด- 2 เดือนต้องการพักผ่อน 11-18 ชั่วโมงในแต่ละวัน และทารกตั้งแต่ 2 เดือนถึง 12 เดือนต้องพักผ่อน 11-15 ชั่วโมง💤✨หิวบ่อยตื่นบ่อยหากคอยสังเกตก็จะเห็นว่าทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือนจะตื่นขึ้นมาร้องไห้บ่อยมากเพราะความหิวอย่างต่อเนื่อง การย่อยอาหารง่ายทำให้เกิดความหิวบ่อยและตื่นบ่อยๆนั่นเองค่ะ คุณแม่จะต้องให้นม🥛ลูกทุกๆ 2-3 ชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน&nbsp;<hr>การจัดการการให้นมลูกกับการนอน<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2297/739c26d0-2f33-4f61-aa4f-1dba0d656b71.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨ปลุกลูกน้อยขึ้นมาทานนมหากทารกน้อยนอนหลับจนครบ 3 ชั่วโมง💤แล้วยังไม่ตื่นและไม่ร้องไห้หานม คุณแม่จะต้องปลุกให้ลูกขึ้นมาทานนมแม่การทำแบบนี้เป็นการส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย👶และยังให้ร่างกายของทารกได้รับการบำรุงอย่างดี ให้ร่างกายของทารกยังเติบโตตามอายุ นอกจากจะส่งผลดีต่อทารกแล้ว การที่ทารกกินนมแม่ทุก 3 ชั่วโมง ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำนม🥛แม่ได้ดีขึ้นอีกด้วย✨จัดการตารางชีวิตหากรู้เวลาที่แน่ชัดว่าลูกน้อยจะนอน💤 เมื่อไหร่ คุณแม่ก็จะสามารถจัดตารางการทำงานบ้าน หรือการนอนหลับพักผ่อนได้ โดยไม่ต้องกังวลแล้วนะคะ&nbsp;✨การนอนนั้นสำคัญขนาดไหน?การนอนถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิดที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ เพราะการนอนจะส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายโดยตรง และยังส่งผลต่อสติปัญญาและอารมณ์ของลูก👶ได้ด้วย โดยจากการศึกษาพบว่า ฮอร์โมนการเจริญเติบโต หรือ Growth Hormone จะมีการหลั่งช่วงกลางคืนของการนอนหลับ🌙 หากลูกมีการพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้ลูกงอแง หงุดหงิด ก้าวร้าวได้ค่ะ&nbsp;

การนอนของทารกแรกเกิด-3 เดือน

&nbsp; &nbsp; ปกติแล้วเวลาที่เจ้าตัวน้อยมีไข้🤒และคุณพ่อคุณแม่พาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ด้วยรูปแบบอาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ จะเอื้ออำนวยให้แพทย์สามารถระบุสาเหตุจากการเป็นไข้ได้ สาเหตุหนึ่งของการเป็นไข้ก็คือการติดเชื้อก่อโรค🦠ประเภทไวรัส อย่างไรก็ตามยังมีบางกรณีที่แพทย์ไม่สามารถระบุสาเหตุของไข้อย่างชัดเจนได้เช่นกันจนเกิดเป็นภาวะไข้ไม่ทราบสาเหตุ ภาวะดังกล่าวมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น เราไปดูกันเลยค่ะ💁&zwj;♀️<hr>ประเภทของภาวะไข้ไม่ทราบสาเหตุ<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4616/2b4b364f-35e9-4247-87f4-bc97883bda10.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">1️⃣ไข้ไม่ทราบสาเหตุแบบคลาสสิค🤒 (classic Fever of Unknown Origin หรือ classic FUO)2️⃣ไข้ไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล🏥 (nosocomial Fever of Unknown Origin หรือ nosocomial FUO)3️⃣ไข้ไม่ทราบสาเหตุที่เกิดในผู้ป่วยเม็ดเลือด🩸ขาวต่ำ (neutrophil Fever of Unkmown Origin หรือ neutrophil FUO)4️⃣ไข้ไม่ทราบสาเหตุที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส🦠 HIV (HIV-associated Fever of Unknown Origin หรือ HIV-associated FUO)คุณผู้อ่านจะเห็นได้ว่าภาวะไข้ไม่ทราบสาเหตุเองถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีคำจำกัดหรือหลักเกณฑ์ในการตีความไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วในเด็กเล็กจะพบไข้ไม่ทราบสาเหตุแบบคลาสสิคได้ค่อนข้างมาก ในวันนี้บทความของเราจึงขอพูดถึงเพียงไข้ไม่ทราบสาเหตุแบบคลาสสิคเท่านั้นค่ะคำจำกัดความของภาวะไข้ไม่ทราบสาเหตุ👉อุณหภูมิร่างกาย🌡️ของผู้ป่วยสูงขึ้นมากกว่า 38.3 องศาเซลเซียสจากการวัดหลายๆครั้งแล้วหาค่าเฉลี่ย👉มีไข้🤒อย่างต่อเนื่องนานถึง 3 สัปดาห์ในกรณีที่ยังไม่เข้ารับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล👉เข้ารับการตรวจในร่างกายในโรงพยาบาลแล้วแพทย์👩&zwj;⚕️ก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุที่แน่นอนได้นานถึง 1 สัปดาห์<hr>อาการที่บอกว่าเด็กเป็นไข้<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4616/db794860-0fa9-45db-b8cb-1c7f46f356a2.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">👉อุณหภูมิของร่างกายสิ่งแรกที่ถือว่าบ่งชี้ได้ชัดเจนที่สุดก็คืออุณหภูมิ🌡️ของร่างกายนั่นเองค่ะ หากเด็กมีอุณหภูมิร่างกายสูงถึงประมาณ 38.5 องศาเซลเซียส ให้คุณพ่อคุณแม่สันนิษฐานไว้ก่อนเลยค่ะว่าเจ้าตัวน้อยกำลังมีไข้🤒👉ร้องไห้งอแงในทารกเด็กจะดื่มนม🍼น้อยลง กระสับกระส่ายเวลานอน แม้จะบอกผู้ปกครองยังไม่ได้แต่จะแสดงอาการร้องไห้งอแง😭ออกมา ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกไม่สบายตัวค่ะ👉มีอาการขาดน้ำเด็กมีอาการเหมือนคนขาดน้ำ😰 ซึ่งก็คืออาการเสียงแหบ ริมฝีปาก👄แห้งนั่นเองค่ะ👉มีอาการท้องเสียเด็กอาจมีอาการถ่ายท้อง💩และอาเจียน🤮ร่วมด้วยค่ะ<hr>ทำอย่างไรหากลูกมีไข้สูง<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4616/6478a43f-a4f0-48e4-9729-55ae3601e29e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">วิธีที่ 1️⃣วิธีที่เห็นผลได้รวดเร็วมากที่สุดก็คือการเช็ดตัวให้เจ้าตัวน้อย ถ้าหากเด็กมีแรงมากพอก็ให้ไปอาบน้ำ🛀ค่ะ เป็นวิธีแรกๆที่ผู้ปกครองควรเลือกใช้ เพราะเด็กที่มีไข้สูงอาจก่อให้เกิดอาการชักเกร็งตามมาได้ค่ะวิธีที่ 2️⃣ให้ลูกรับประทานยาลดไข้💊ควบคู่ ซึ่งก็คือพาราเซตามอลซึ่งถือเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ทุกครอบครัวควรมีติดบ้านเอาไว้นั่นเองค่ะวิธีที่ 3️⃣ให้ลูกสวมเสื้อผ้า🎽ที่ถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายได้ดีวิธีที่ 4️⃣ให้ลูกนอนหลับพักผ่อน😴ในที่ที่มีอากาศเย็นสบาย อากาศถ่ายเทได้สะดวก แต่ไม่หนาวจนเกินไปค่ะวิธีที่ 5️⃣สำหรับเด็กที่รับประทานอาหารได้น้อย มีอาการถ่ายท้อง💩และอาเจียน🤮ร่วมด้วย คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่หรือน้ำหวาน🧃เข้าไปทดแทนในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้เจ้าตัวน้อยของเรายังมีแรงค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;อันที่จริงแล้วภาวะไข้ไม่ทราบสาเหตุก็มักจะทำให้เจ้าตัวน้อย👶แสดงอาการไม่ได้ต่างจากไข้หวัดทั่วไปมากนัก วิธีการดูแลจึงใกล้เคียงกันและไม่ได้ยากเกินไปสำหรับผู้ปกครอง อย่างไรก็ตามหากลูกเป็นไข้ และผู้ปกครองสังเกตหรือคาดเดาไม่ได้ว่าเด็กเป็นอะไร ก็ควรเข้ารับการตรวจร่างกายจากแพทย์👩&zwj;⚕️เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดก่อน ยังไม่ควรสรุปด้วยตนเองว่าลูกเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้ค่ะ

ภาวะไข้ไม่ทราบสาเหตุ

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณแม่หลายๆท่านอาจเคยเผชิญกับปัญหาอาการนอนไม่หลับ😴กันใช่ไหมคะ โดยเฉพาะการนอนไม่หลับในช่วงกลางคืนนั้นช่างทรมานมากเหลือเกิน ทำให้วันต่อมาคุณแม่รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าในช่วงกลางวัน เนื่องจากได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ วันนี้ทางเราจะพามันทราบถึงสาเหตุอาการนอนไม่หลับของคนท้อง และวิธีแก้ปัญหาการนอนหลับยากกันค่ะ💁‍♀️<hr>อาการคนท้องนอนไม่หลับในแต่ละไตรมาสของการตั้งครรภ์ช่วงของนั้นคุณแม่อาจประสบกับปัญหานอนไม่ มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน &nbsp;จึงทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ส่งผลให้นอนไม่หลับ หรือนอนหลับยาก😪ขึ้นมากกว่าเดิม โดยอาการสามารถแบ่งออกได้ตามแต่ละไตรมาสของการตั้งครรภ์ ดังต่อไปนี้✨ไตรมาสแรกอาการนอนไม่หลับในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์นั้น จะทำให้คุณแม่เกิดอาการอื่นๆที่ตามมาได้ด้วยเช่นกัน เช่น อาการรู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้🤢 ง่วมซึม หรืออาการแสบร้อนตรงกลางอกก็เป็นไปได้ ดังนั้น คุณแม่ควรพยายามพักผ่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ✨ไตรมาสสองในช่วงไตรมาสที่ 2 ร่างกายของคุณแม่จะมีการปรับตัวได้ดีขึ้นจากอาการของไตรมาสแรก ทำให้คุณแม่สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากระดับของฮอร์โมนได้เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตามในคุณแม่บางรายอาจจะมีอาการแทรกซ้อน เช่น การเป็นตะคริวที่ขา🦵 นอนกรน หรืออาการหยุดหายใจตอนนอน หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ควรเข้าปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด✨ไตรมาสสามในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่หลายๆท่านอาจเผชิญกับปัญหาอาการนอนไม่หลับอีกครั้ง ซึ่งอาการอาจจะหนักกว่าในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ในช่วงที่หลับนั้นคุณแม่อาจจะรู้สึกว่าไม่สามารถหลับได้อย่างสนิท และมักจะตื่นมาแต่เช้า สาเหตุมาจากการที่ทารกในครรภ์มีการเคลื่อนไหว👶 และในคุณแม่บางรายอาจจะมีอาการกรดไหลย้อน ขากระตุก และปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นด้วยค่ะ<hr>ผลเสียต่อร่างกายคุณแม่จากอาการนอนไม่หลับ👉ทำให้เกิดความเครียดเมื่อคุณแม่นอนไหมหลับ ก็จะส่งผลให้เกิดอาการเครียด🤯และความวิตกกังวล ทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลียในวันถัดมาค่ะ👉ความดันโลหิตสูงอาการนอนไม่หลับก็มีส่วนทำให้ความดันโลหิต🩸ของคุณแม่สูงขึ้น และนั่นก็อาจส่งผลเสียให้คุณแม่เข้าสู่ภาวะครรภ์เป็นพิษได้ ทางเราแนะนำว่าคุณแม่ควรได้รับการพักผ่อนเป็นอย่างน้อย 8-9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อที่จะควบคุมฮอร์โมนและปรับสมดุลของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ👉ในครรภ์เจริญเติบโตช้าการที่คุณแม่นอนไม่หลับนั้นก็จะส่งผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ด้วย ทำให้ทารกในครรภ์ก็นอนไม่หลับด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งอาการนี้จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางร่างกายและการพัฒนาทางสมอง🧠ของลูกน้อย อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ไม่เพียงพอ อาจทำให้ทารกที่เกิดมามีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ<hr>วิธีบรรเทาอาการนอนไม่หลับ💤ฝึกเข้านอนให้เป็นเวลาคุณแม่ควรฝึกเวลาที่จะเข้านอนให้เป็นกิจวัตร😴 ไม่ควรนอนดึกมากจนเกินไป และควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้คุณแม่รู้สึกตื่นมาสดชื่นในวันถัดไป🍽️ให้ความสำคัญกับโภชนาการคุณแม่ควรใส่ใจที่จะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ เพราะสารอาหารจะถูกส่งต่อไปยังลูกโดยตรง โดยคุณแม่ควรเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เช่นอัลมอนด์🥜 โยเกิร์ต🥛และผักผลไม้ที่มีสีเขียว จะช่วยทำให้คุณแม่นอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้นค่ะ🎬เลือกทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายคุณแม่ควรเลือกทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดระหว่างวันได้ เช่น การดูหนังตลก อ่านหนังสือ📚 ฟังเพลง หรือแม้กระทั่งการเล่นโยคะ ก็สามารถช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายยิ่งขึ้นและนอนหลับสนิทได้มากขึ้นในช่วงกลางคืนค่ะ🧘‍♀️ออกกำลังกายเบาๆคุณแม่ท้องสามารถออกกำลังกายเบาๆเพื่อเป็นการช่วยให้คุณแม่นอนหลับและสบายยิ่ง &nbsp;เช่น การเดินเล่นที่สวนสาธารณะ🚶‍♀️ การเล่นโยคะ หรือการเล่นพิลาทิสที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน กิจกรรมเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณแม่นอนหลับได้ง่ายขึ้น และคุณแม่ไม่ควร🙅‍♀️ออกกำลังกายก่อนก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เพราะอาจจะทำให้ร่างกายแอคทีฟจนไม่สามารถนอนหลับได้🎶ฟังเพลงก่อนนอน&nbsp;การฟังเพลงก่อนนอนจะช่วยให้คุณแม่สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น &nbsp;คุณแม่สามารถเลือกเพลงที่ผ่อนคลาย เช่น เพลงโมสาร์ท🎻 เพื่อทำให้คุณแม่ผ่อนคลายและสามารถนอนหลับได้สนิทขึ้นค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;คนท้องกับอาการนอนไม่หลับนั้นเป็นของคู่กัน เป็นผลเนื่องมาจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและสมดุลของร่างกาย คุณแม่สามารถประยุกต์วิธีข้างต้นที่ทางเราได้มีการลิสต์ไว้ให้มาปรับใช้ดูได้ค่ะ แต่หากว่าคุณแม่เพราะว่าตัวเองนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายวัน หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ควรรีบไปพบแพทย์👨‍⚕️ทันทีค่ะ

แม่ท้องมีปัญหานอนไม่หลับ ทำไงดี?

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณผู้อ่านหลายๆท่านคงคุ้นเคยและมีความเข้าใจเกี่ยวกับกับคำว่าแท้งมาก่อนอยู่แล้ว แต่อาจยังไม่ทราบว่าการแท้งนั้นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆได้อีกหลายประเภทเลยทีเดียว บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปทำความเข้าใจกับการแท้งอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า ภาวะแท้งคุกคาม เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราค่อยๆไปทำความรู้จักกับการท้องในรูปแบบนี้พร้อมกันเลยค่ะ<hr>ภาวะแท้งคุกคามคืออะไร สังเกตอาการได้อย่างไร<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4225/8c0fffe1-88df-4be3-80a4-b74df03ee353.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">&nbsp; &nbsp; ภาวะดังกล่าวเป็นภาวะผิดปกติของการตั้งครรภ์ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างช่วงที่คุณผู้หญิงตั้งครรภ์🤰ประมาณ 20 สัปดาห์แรก โดยคุณผู้หญิงจะมีเลือดหรือมูกเลือดออกจากช่องคลอด และอาจมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยร่วมด้วย คล้ายกับอาการปวดประจำเดือน และปากมดลูกยังไม่เปิด บางรายอาจปวดจนมีอาการร้าวไปบริเวณหลังได้ โดยกลุ่มคุณแม่ที่มีอาการเหล่านี้หรือประสบภาวะนี้ มีจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งที่จะตามมาด้วยการแท้งลูกในครรภ์จริงๆค่ะ<hr>การแท้งคุกคามเกิดขึ้นได้อย่างไร<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4225/3dcd95ce-b105-4302-b3f8-a25a71a7a4b7.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨อาจเกิดจากความผิดปกติของทารกเอง มักเป็นความพิการตั้งแต่กำเนิดหรือเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ค่ะ✨อาจเกิดจากโรคประจำตัวของคุณแม่ที่อุ้มท้อง ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง🩸 หรือแม้กระทั่งโรคไตค่ะ✨อาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะภายในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงของคุณแม่เอง ไม่ว่าจะเป็นมดลูก ปากมดลูก โพรงมดลูก จนไม่พร้อมกับการให้ตัวอ่อนในครรภ์อยู่อาศัยและเจริญเจิบโตค่ะ✨อาจเกิดจากภาวะขาดฮอร์โมนเพศภายในร่างกาย โดยปกติแล้วฮอร์โมนเพศในระดับที่เหมาะสมจะเป็นตัวช่วยให้สิ่งแวดล้อมในครรภ์เอื้ออำนวยแก่การเจริญเติบโตของตัวอ่อน หากผิดปกติไปก็มีโอกาสที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมในครรภ์ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของทารก👶อีกต่อไปค่ะ✨อาจเกิดจากการที่คุณแม่เคยขูดมดลูก มีประวัติเคยแท้งหรือทำแท้งมาก่อน รวมไปถึงคุณแม่ที่เคยใช้สารเสพติด ใช้ยาหรือการรักษาบางอย่างทางการแพทย์ด้วยค่ะ✨อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น การที่คุณแม่ได้รับอุบัติเหตุที่มีความกระทบกระเทือน ส่งผลต่อลูกในครรภ์สูงมาก<hr>มีแนวทางการรักษาและการป้องกันอย่างไร<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/4225/3e323bfd-9b37-4519-ac0f-b7d7d5cacc73.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">🤰คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรหมั่นสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองอย่างละเอียดและสม่ำเสมอค่ะ หากพบอาการเสี่ยงตามที่กล่าวไปควรรีบพบแพทย์อย่างเร็วที่สุดค่ะ🤰คุณแม่ที่มีอาการเลือดออกเล็กน้อยแต่มีการปวดท้องหรือปวดหลัง แนะนำให้รับประทานยาแก้ปวด💊 ยกเว้นยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs ค่ะ🤰สำหรับคุณแม่ที่มีเลือดออกมาก และมีอาการปวดท้องมาก ควรเข้าพบแพทย์โดยด่วนเพื่อเข้ารับการรักษาตามอาการ หรือการรักษาแบบประคับประคองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ ในช่วงที่ยังมีเลือดออกจากช่องคลอด แนะนำว่าควรงดการออกกำลังกายและการมีกิจกรรมทางเพศไปก่อนค่ะ&nbsp; &nbsp; คุณผู้อ่านคงเห็นแล้วใช่ไหมคะว่าภาวะแท้งคุกคามนั้นสามารถเกิดกับคุณแม่ได้ง่ายมากกว่าที่คิด และมีอาการบ่งชี้ที่ค่อนข้างน้อยกว่าที่คาด ทำให้คุณแม่บางท่านไม่ทราบว่าตนเองกำลังเสี่ยงที่จะแท้งอยู่ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของตนเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ

ภาวะการแท้งคุกคาม คืออะไร?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยทราบว่าการทำอัลตร้าซาวด์นั้นค่อนข้างเป็นสิ่งที่จำเป็นในการตรวจครรภ์🤰 แต่การที่มันเป็นสิ่งจำเป็นนั้นแปลว่ามันมีประโยชน์ในรูปแบบที่การตรวจด้วยวิธีอื่นๆนั้นให้ไม่ได้ วันนี้บทความของเราจะพาคุณผู้อ่านไปดูถึงสิ่งที่วิธีการทำอัลตร้าซาวด์สามารถบอกได้ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ของคุณแม่ และพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับขั้นตอนการทำอัลตร้าซาวด์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นกันค่ะ💁&zwj;♀️<hr>การอัลตร้าซาวด์ในแต่ละอายุครรภ์บอกอะไรได้บ้าง<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4637/e70eb5f6-db95-4cee-8e97-7fe16fdf199b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">✨สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในไตรมาสแรกประมาณ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ การอัลตร้าซาวด์จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความยาวของกระดูกทารกได้ ตรวจความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกแขนขา🦵และกะโหลกศีรษะ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงสำคัญที่การทำอัลตร้าซาวด์จะช่วยคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมในทารก ด้วยการฉายภาพเพื่อวัดความหนาของต้นคอ วัดกระดูกบริเวณจมูก👃 โดยทำร่วมกับการตรวจเลือด🩸ของคุณแม่ค่ะ✨สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2&nbsp;สามารถทำอัลตร้าซาวด์เพื่อวิเคราะห์อายุครรภ์ของคุณแม่ได้ ในกรณีที่คุณแม่มาฝากครรภ์🤰ช้าหรือไม่มั่นใจในอายุครรภ์ของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถดูความปกติของอวัยวะภายในร่างกายของคุณแม่ได้ รวมไปถึงตำแหน่งของรกและลักษณะของน้ำคร่ำ ว่าทุกอย่างเหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์หรือไม่ เป็นการป้องครรภ์การเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ☠️ สำหรับเจ้าตัวน้อย👶ในครรภ์ การอัลตร้าซาวด์ในช่วงนี้ก็จะทำให้แพทย์มองเห็นถึงลักษณะของอวัยวะภายนอกรวมถึงใบหน้าของทารกได้ ที่น่าสนใจคือในคุณแม่ที่มีประวัติการคลอด📄ก่อนกำหนดมาก่อน การอัลตร้าซาวด์ในช่วงนี้ยังสามารถช่วยให้แพทย์วัดความยาวของปากมดลูกได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการทำนายโอกาสที่ครรภ์นี้จะเป็นครรภ์คลอดก่อนกำหนดซ้ำค่ะ✨สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3&nbsp;จากไตรมาสที่3จนไปถึงช่วงก่อนคลอด การอัลตร้าซาวด์สามารถช่วยประเมินว่าทารก🚼มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย การเคลื่อนไหว การเจริญเติบโตทั้งในด้านของความยาวลำตัวและน้ำหนักเป็นไปอย่างปกติหรือไม่ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของน้ำคร่ำ รวมไปถึงบ่งบอกได้ถึงท่าทางในครรภ์ของทารกด้วยค่ะ<hr>2 ขั้นตอนของการทำอัลตร้าซาวด์<img src="https://cdn.billyapi.com/froala/boards/4637/938d074d-7018-4b8a-a348-c19079419be3.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">💫ขั้นตอนการทำอัลตร้าซาวด์ทางช่องท้อง👉เมื่อคุณแม่นอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว แพทย์หรือนักรังสี🧑&zwj;🔬เทคนิคจะทำการทาเจล🧴สำหรับการอัลตร้าซาวด์บนหน้าท้องตำแหน่งที่จะนำแท่งหัวอัลตร้าซาวด์จิ้มดูภาพอวัยวะภายใน👉แพทย์หรือนักรังสีจะแตะหัวอัลตร้าซาวด์ลงไปบริเวณที่ต้องการดูภาพ อาจมีการกดเบาๆ👆เพื่อเอื้ออำนวยการปล่อยคลื่นเข้าสู่ร่างกายของคุณแม่ เมื่อคลื่นสะท้อนกลับมา เครื่องอัลตร้าซาวด์ก็จะรับความถี่ของคลื่นที่สะท้อนกลับและแปลงสัญญาณออกมาให้เราเห็นในรูปแบบของรูปภาพบนจอคอมพิวเตอร์ค่ะ🖥️👉แพทย์จะอธิบายถึงลักษณะภาพที่เห็น🔎ผ่านจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้คุณแม่เข้าใจว่าเจ้าตัวน้อยในครรภ์👶นั้นมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่เหมาะสมหรือไม่ การเคลื่อนไหวในครรภ์เป็นไปอย่างปกติหรือไม่ มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ที่สามารถตรวจพบได้หรือไม่ค่ะ👉เมื่อทำการตรวจ🩺และพูดคุย🗣️เสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์หรือนักรังสีก็จะเช็ดเจลอัลตร้าซาวด์ออกจากบริเวณหน้าท้องคุณแม่ก็จะสามารถกลับบ้านได้โดยไม่ต้องพักฟื้นอะไร โดยปกติแล้วกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่แรกจนจบจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง🕓ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่นานมากนักค่ะ💫ขั้นตอนการทำอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด👉สำหรับขั้นตอนก็จะมีความคล้ายคลึงกับวิธีการทำทางช่องท้องเลยค่ะ เพียงแต่หากทำบริเวณช่องคลอด แพทย์หรือนักรังสีต้องทำการเปลี่ยนหัวแท่งอัลตร้าซาวด์เพื่อให้เหมาะต่อการสอดใส่เข้าไปทางช่องคลอดมากขึ้น การทำอัลตร้าซาวด์ผ่านทางช่องคลอดจะช่วยให้แพทย์👨&zwj;⚕️สามารถเห็น🔎ลักษณะของมดลูกและรังไข่ได้ค่อนข้างชัดเจนกว่าการตรวจผ่านหน้าท้อง ดังนั้นการเลือกว่าจะอัลตร้าซาวด์ด้วยวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการตรวจอวัยวะใด ต้องการเห็นภาพ🎞️แบบไหนค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านก็จะเห็นแล้วนะคะว่าสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น การตรวจครรภ์ด้วยวิธีอัลตร้าซาวด์สามารถบ่งบอกอะไรได้มากมาย และมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอายุครรภ์🤰 นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อทั้งร่างกายของคุณแม่และเจ้าตัวน้อยในครรภ์ ขั้นตอนการตรวจก็ไม่ซับซ้อนมากนักและไม่ได้ใช้เวลานาน🕓 ดังนั้นการทำอัลตร้าซาวด์จึงเป็นหนึ่งในวิธียอดนิยมที่แพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัย🩺สุขภาพครรภ์ของคุณแม่ค่ะ

ตรวจอัลตร้าซาวด์แต่ละช่วงอายุครรภ์ บอกอะไรได้บ้าง? 

&nbsp; &nbsp; &nbsp;ในช่วง 3 เดือนแรกที่ทารกคลอดออกมานั้นจัดว่าเป็นช่วงสำคัญที่คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับโภชนาการของเจ้าตัวน้อย👶เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่านมแม่นั้นจะมีคุณประโยชน์ต่างๆต่อร่างกายรูป แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอเสมอไป บทความนี้ได้รวบรวมวิธีการเลือกอาหารเสริมสำหรับเด็กก่อน 3 เดือนที่คุณแม่ไม่ควรพลาด จะมีอะไรบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ💁‍♀️<hr>ความสำคัญของการสร้างระบบภูมิต้านทานของเด็กแรกเกิด👉เป็นการป้องกันการติดเชื้อของทารกหลังจากที่ทารกคลอดออกมา ทารกจะได้รับสารแอนตี้บอดีชุดแรกมาจากคุณแม่ด้วย ซึ่งสารนี้จะสามารถอยู่ได้เพียง 2-3 เดือนแรกเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่ควรทานอาหารที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิต้านทานให้แก่ทารกจนทารกอายุถึง 3 ปี เพราะในช่วงที่ภูมิต้านทานของลูกน้อยยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่นั้นก็ยังเสี่ยงทำให้ลูกติดเชื้อแบคทีเรีย🦠ต่างๆได้ง่าย เช่น การติดเชื้อทางระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อในหู👂 และรวมไปถึงโรคยอดฮิตอย่างเช่น โรคภูมิแพ้ โรคท้องร่วง และโรคหืด<hr>อาหารเสริมตั้งแต่ลูกอายุ 3 เดือนไปจนถึง 1 ปี💫ทารกในช่วง 1- 3 เดือนน้ำนมแม่🍼นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กอ่อน เพราะนมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆที่ลูกควรได้รับ และลูกควรรับประทานนมแม่ไปจนถึงอายุ 2 ปี ซึ่งในช่วงวัยนี้ทารกจัดว่ายังไม่จำเป็นต้องได้รับอาหารเสริม&nbsp;💫ทารกในช่วง 4-6 เดือนในช่วงวัย 4-6 เดือนทารกสามารถรับประทานอาหารอ่อนๆได้ เช่น ไข่ต้มสลับกับตับ ข้าวบดละเอียด และน้ำซุปต้มผักกับหมู🍲บด และผลไม้บดชิ้นเล็ก เป็นต้น💫ทารกในช่วง 7-8 เดือนในช่วงนี้ทารกสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น โดยสามารถรับประทานข้าวบดหยาบ และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อปลา🐟 เนื้อหมู และเนื้อไก่ เป็นต้น💫ทารกในช่วง 8-10 เดือนในช่วงวัยนี้ทารกจะเรียนรู้วิธีใช้ลิ้นดุนอาหารได้บ้างแล้ว ดังนั้นทารกจึงสามารถทานข้าวสุกได้ และยังสามารถรับประทานเนื้อ ผัก🥦 และผลไม้ที่มีลักษณะเป็นชิ้นได้💫ทารกในช่วง 10 - 12 เดือน&nbsp;ทารกในช่วงวัยนี้สามารถทานอาหารได้เหมือนทารกในช่วงวัย 8-10 เดือนเลยค่ะ แต่คุณแม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้น🍱 เพื่อที่จะทำให้ทารกได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอเพื่อไปพัฒนาร่างกาย ระบบประสาทและสมองให้สมบูรณ์&nbsp; &nbsp; &nbsp;นมแม่นั้นยังถือว่าเป็นอาหารสำคัญที่ลูกน้อยจำเป็นต้องดื่มตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 1 ปี และในช่วง 4 เดือนเป็นต้นไปทารกสามารถรับประทานอาหารต่างๆที่มีประโยชน์เสริมเข้าไปเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เช่น คาร์โบไฮเดรต🍚 โปรตีน วิตามิน และรวมไปถึงแร่ธาตุที่สำคัญต่างๆจากอาหารทั้ง 5 หมู่

วิธีเลือกอาหารเสริมสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 1 ปี 

&nbsp; &nbsp; &nbsp;อายุครรภ์ 24 สัปดาห์ หรือการตั้งครรภ์หกเดือน เป็นช่วงที่ทารกกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเอาชีวิตรอดในโลกภายนอก ในขณะที่ตัวคุณแม่อาจไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนักจากการตั้งครรภ์ในช่วงหลัง ทั้งอาการ ตะคริว ปวดหลัง และเท้าบวม จะมีอาการอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ทางเราได้หาคำตอบมาให้คุณแม่ทราบแล้วค่ะ💁‍♀️<hr>ทารกในครรภ์อายุ 24 สัปดาห์มีขนาดตัวเท่าอะไร?🍈ทารกมีขนาดตัวเท่าผลผลแคนตาลูปในสัปดาห์ที่ 24 นี้ ลูกมีขนาดเท่าผลแคนตาลูปแล้วค่ะ ความยาวประมาณ 11.8 นิ้วและหนักประมาณ 1.3 ปอนด์<hr>อาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 24 สัปดาห์คุณแม่จะยังต้องเผชิญกับภาวะต่างๆ ที่แสนกวนใจในช่วงการตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์ ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณแม่และรวมไปถึงอาการอื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้&nbsp;- เท้าและข้อเท้าบวม🦶 หากเท้าของคุณแม่มีอาการบวม เวลานั่งให้ยกเท้าขึ้นสูง การลุกขึ้นเดินบ่อย ๆ ก็สามารถช่วยได้เช่นกันค่ะ อาการบวมเล็กน้อยนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่หากมีอาการบวมที่ใบหน้า มือบวมอย่างรุนแรงหรือมีอาการบวมไม่เท่ากันหรือเกิดอาการบวมขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทั้งหมดนั้นเป็นอาการผิดปกตินะคะ ความจริงแล้วนั่นคือสัญญาณเตือนของภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ ควรรีบรายงานให้หมอสูติฯของคุณแม่ทราบถ้ามีอาการบวมที่ส่อถึงความผิดปกติค่ะ- ตะคริว ขาที่หดเกร็ง เจ็บ และกระตุกนั้น อาจเป็นสัญญาณของการขาดน้ำ คุณแม่ต้องแน่ใจว่าตัวเองดื่มน้ำ💧มากพอ พยายามยืดขาบ่อย ๆ และเดินเยอะ ๆ แจ้งให้คุณหมอทราบหากคุณแม่มีอาการตะคริว โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่บางครั้งตะคริวก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาอื่นได้ เช่น การขาดสารอาหาร🍲 ดังนั้นคุณแม่จึงควรสังเกตตัวเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ- ปวดหลัง คุณแม่จะยังคงมีอาการปวดหลังอยู่ และอาจจะแย่ลงด้วย นั่นก็เพราะลูกมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น👶 ดังนั้นมดลูกของคุณแม่จึงขยายไปกดทับกระดูกสันหลัง ทำให้มันงอและตึงมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้กล้ามเนื้อหลังของคุณแม่ยังต้องทำงานหนักขึ้นในการแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย แจ้งคุณหมอให้ทราบนะคะถ้าหากมีอาการปวดที่รุนแรงผิดปกติ&nbsp;- มีเส้นดำกลางท้อง คือเส้นสีเข้มที่พาดตรงกลางท้องของคุณแม่นั่นเองค่ะ เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ เส้นนี้ควรจะจางลงภายในสองสามอาทิตย์หรืออาจจะหลายเดือนหลังคลอด🤱- รอยแตกลาย รอยเหล่านี้จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผิวของคุณแม่ยังคงยืดขยายออก หากคุณแม่ตั้งท้องลูกแฝดได้ 24 สัปดาห์ คุณแม่ก็จะยิ่งมีโอกาสมีรอยแตกลายค่ะ คุณแม่ควรลองผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับคนท้อง🧴<hr>การอัลตร้าซาวน์ในช่วงตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์👉ทารกมีการพัฒนาของผิวในครรภ์อายุ 24 สัปดาห์นั้น ลูกกำลังมีพัฒนาการมากขึ้น🚼 ไม่ใช่แค่เพียงด้านโครงสร้างร่างกายนะคะ แต่รวมไปถึงรูปลักษณ์ภายนอกด้วยเช่นกัน ผิวที่บางใสของตัวอ่อนวัย 24 สัปดาห์นั้นจะค่อย ๆ ทึบแสงขึ้น และจะมีสีชมพูสดใส ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมานั่นเองค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;ในช่วงการตั้งครรภ์24 สัปดาห์ คุณแม่จะได้เห็นพัฒนาการต่างๆของเจ้าตัวน้อยที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน รวมไปถึงคุณหมอ👩‍⚕️จะสั่งให้คุณแม่ตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นการตรวจที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของคนท้อง สำหรับหาว่าคุณแม่มีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่ การตรวจนี้ออกแบบมาเพื่อเช็คกระบวนการจัดการน้ำตาลในร่างกายของคุณแม่ค่ะ โดยคุณแม่จะต้องดื่มของเหลวรสหวานที่เรียกว่า กลูโคลา หลังจากนั้นก็รอประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อถึงเวลาคุณหมอจะเจาะเลือดไปตรวจเพื่อดูว่าร่างกายของคุณแม่จัดการกับน้ำตาลเหล่านั้นอย่างไร

อาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์

임신 중 성관계를 해도 된다는 사실은 많은 엄빠들이 알고 계실 거예요. 물론 임신 초기에는 조심하셔야 하는 점도 알고 계시죠?😉 이번에는 많은 엄빠들이 걱정하실 수 있는 임신 중 질내 사정의 가능 여부에 대하여 알아보려 해요. 그럼, 빌리와 함께 정답을 알아볼까요?🔍<hr>임신 중 질내 사정은 위험한가요?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/5fccd5f7-4ce1-41d9-96e2-d2740eaf210f.webp" class="fr-fic fr-dib">아기한테 문제 될까봐 걱정이에요 ㅠ_ㅠ관계를 하면 오르가슴을 느끼게 되고, 자궁수축을 유발하여 조산 또는 유산의 위험을 증가시키는지에 대한 걱정🥺으로 질문이 생기는 것 같아요. 이때까지 성관계로 인해 조산/유산이 되었다는 논문은 없답니다🙅&zwj;♀️. 자연의 섭리인 만큼 성관계 시 감염 질환은 발생할 수 있지만 그 외에는 자궁에 무리를 주지 않아요. 만약 병원에서 산전검사를 하며 감염의 위험⚠️이 있다거나 출혈이 되신 적이 있다고 한다면 그 경우에만 주의해 주시면 돼요. 결론은 임신 중 질내 사정과 조산 혹은 유산은 의학적으로 관계가 없다고 할 수 있어요.<hr>출산 후 관계는요?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/3c4c69c2-5f1e-4f2c-bdd6-86a2cf011304.webp" class="fr-fic fr-dib">임신 후 생기는 걱정은 끝도 없죠.임신과 관련하여 많은 임산부들의 걱정이 임신 중 성관계와 출산 후 성관계예요. 초기에는 유산이 될까 봐 걱정하고 중기를 지나서 배가 나오기🤰 시작하면 조산이 될까 봐 걱정해요. 앞서 말씀드린 것처럼, 병원에서 특별히 위험성이 있다고 얘기하지 않는 이상은 특별히 성관계가 문제가 되지 않는답니다🥰. 또한 임신 중에는 태반에서 성호르몬이 많이 나오기 때문에 호르몬대로만 이야기하면 성욕🔥이 떨어지진 않아요. <img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/e6a8131d-09e3-446a-8bef-71691d5042fe.webp" class="fr-fic fr-dib">아기를 낳고 나니 무 성욕자가 된것 같아요..하지만 반대로 출산 후에는 태반이 떨어져 나가면서 성호르몬이 떨어져요📉. 이때는 일시적으로 폐경과 비슷한 상태가 되고 특히나 모유수유🤱를 하며 더 촉진돼요. 다시 생리가 시작되기 전까지 호르몬이 얼마간 떨어져 있는 상태가 지속된답니다. 짧으면 한두 달, 길면 1년까지 상태가 지속돼요. 또한 아기를 돌보느라 힘들고 호르몬 영향으로 성욕도 떨어지며 몸과 마음이 힘든 상태가 되면서 약간의 우울감😢도 올 수 있어요. 때문에 임신 중보다는 출산 후가 오히려 성관계하기에 더욱 힘들 수 있어요.<hr>그럼 언제부터 관계가 가능한 건가요?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/e076d178-7a1b-409b-9416-bd44a5203901.webp" class="fr-fic fr-dib">짱... 신비로운 인체의 변화....!보통은 의학적으로 자연분만이든 제왕절개이든 6주를 산욕기로 봐요. 때문에 6주가 지나면 자궁이 거의 정상✨ 크기로 돌아오고 보통 그때쯤 산부인과에서 자궁 경부암 검사, 질 세포 검사를 진행해요. 분만 후 늦게 하면 아기가 100일 때쯤 하기도 해요. 이 검사를 한다는 것 자체가 자궁이 임신 전으로 돌아갔다는 것을 의미한답니다☺️. 그때부턴 성관계가 가능해요. 즉 빠르면 6주 늦으면 두세 달 후엔 신체적으로는 관계를 가질 수 있다👌는 이야기예요.&nbsp; 당신은 이런 마음이구나! 난 이런 마음이었어..!사실 별로 하고 싶지 않다😒는 생각이 들 수 있어요. 이럴 때는 역지사지의 태도로 상대방 입장을 한 번 생각해 보는 것도 좋은 방법이에요. 부부관계라도 강제로❌ 할 수는 없으니까요. 보통 임신 후 막달에 관계를 하지 않고, 출산 후 한두 달은 못하게 되니, 젊은 부부라면 좋지 않을 수 있어요. 이럴 땐 아내나 남편의 입장에서 어떨지 한 번 생각해 보시는 게 도움이 된답니다. 대화는 말로만 하는 게 아니니깐요😚. 성관계는 부부관계에서 중요한 요소이니, 서로의 마음을 헤아려보면 언제부터 할 수 있을지 답이 나오게 된답니다.<hr>성관계는 사실 조금 예민한 주제일 수 있어요. 하지만 부부라는 관계 속에서 성관계는 중요한 요소라는 점❣️. 서로가 서로를 배려하고 생각하다 보면 부부관계👩&zwj;❤️&zwj;👨란 자연스럽게 이어질 수 있을 것 같아요. 이번 주제로 궁금하셨던 부분은 해결이 되셨을까요? 어디에 물어보기 민망했던 질문도 척척 답을 가져오는 빌리가 될게요!🩷<iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/1d-dKDs1EvY?&wmode=opaque&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen="" class="fr-draggable">&nbsp;&nbsp;</iframe>출처: 나는 의사다

임신 중 질내사정 YES or NO

หากมีอาการแพ้นิกเกิล เราจะพบว่าลูกน้อยจะมีอาการผื่นคันตามผิวหนัง โดยจะมีผื่นแดง หรืออาจพุพอง &nbsp;ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็รบกวนกับการใช้ชีวิตในกิจวัตรประจำวันได้ ซึ่งแม้ว่าจะไม่สามารถหายขาดจากอาการแพ้ได้ แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งของต่างๆที่ทำมาจากนิกเกิลได้&nbsp;<hr>อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาการผื่นแพ้นิโลหะนิกเกิล?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3106/b32a9f43-3160-4180-a387-8a642851e5d4.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการแพ้ แต่การแพ้นิกเกิล🦾นั้นก็มาจากสาเหตุเดียวกันกับอาการแพ้อื่นๆ ที่เมื่อร่างกายของเรามองว่านิกเกิลเป็นสารที่ทำอันตราย ร่างกายก็จะตอบสนอง ระบบภูมิคุ้มกันจึงมีความไวต่อนิกเกิลส่งผลให้เกิดอาการแพ้นั่นเอง&nbsp;ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันอาจมีส่วนได้รับถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม🧬 โดยร่างกายอาจมีความไวต่อนิกเกิลหลังการสัมผัสในครั้งแรก หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสซ้ำๆ เป็นเวลาต่อเนื่อง<hr>แหล่งที่มาของการสัมผัสโลหะนิกเกิล<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3106/f177dc43-3352-47f1-85b9-7da28b390b72.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ของต่างๆที่เจ้าตัวเล็กอาจไปสัมผัสและมีส่วนผสมของนิกเกิลได้ ได้แก่&nbsp;✨เครื่องประดับต่างๆ เช่น ต่างหู สร้อยคอ แหวน กำไล เข็มกลัด&nbsp;✨นาฬิกาของคุณพ่อคุณแม่✨ตะขอเสื้อชั้นใน ซิป ตัวล็อคตามเสื้อผ้า✨หัวเข็มขัด✨กุญแจ✨เหรียญ✨เครื่องมือโลหะ✨กรอบแว่นตา✨โทรศัพท์มือถือ✨แล็ปท็อปหรือแท็บเล็ต<hr>อาการการแพ้นิกเกิล<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3106/c6f87a0c-9bb2-49a0-ba4a-b96c5ac96ed7.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;"> อาการแพ้นิกเกิลจะเกิดขึ้นหลังสัมผัสกับนิกเกิล🪙ภายในไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจถึงหลายวันประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยส่วนมากจะมีอาการแพ้เกิดขึ้นที่ผิวหนังที่ถูกสัมผัสกับนิกเกิล แต่ในบางครั้งก็สามารถเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆของร่างกายได้เช่นกัน ซึ่งจะมีอาการต่างๆดังนี้&nbsp;✨ลูกน้อยอาจมีอาการคันที่รุนแรง✨มีรอยแดงหรือผื่นเกิดขึ้นบนผิวหนัง✨ผิวหนังแห้ง มีลักษณะคล้ายรอยไหม้✨ในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดแผลพุพองโดยหากพบว่าลูกมีอาการเหล่านี้ให้ปรึกษากับคุณหมอเพื่อวินัจฉัยว่าลูกแพ้นิกเกิลหรือไม่ และทำการรักษาอย่างถูกต้องต่อไปค่ะ&nbsp;

อาการแพ้นิกเกิลเป็นอย่างไร? สงสัยว่าแพ้จะต้องทำอย่างไร?

영아돌연사증후군이란?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1582/fc9d22a0-aa50-4c54-b003-e269c19f39fb.gif" style="width: 100%; height: 100%;">잘 잔다고 방심은 NO!영아돌연사증후군은 돌 이전 아이가 알 수 없는 이유로 갑자기 사망하는 걸 말해요. 아직 구체적인 원인은 밝혀지지 않았으나 대개 임신 중 엄마의 흡연, 저체중, 약한 근육 긴장, 비정상적인 심장박동, 호흡과 수면각성 활동과 관련이 있는 것으로 알려져 있어요.💬우리나라에서는 매년 100여 명의 아이들이 이 영아돌연사증후군으로 사망하고 있는데요,😰 대개 똑바로 눕혀 재우면 뒤통수가 납작해진다는 이유로 엎드려 재운 게 사고의 원인이라고 해요.<hr>영아돌연사증후군 예방방법&nbsp;<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/1582/cf38188d-cdb2-4bc0-b204-d6f804eecdbc.gif" style="width: 100%; height: 100%;">미국소아과학회 America Academy of pediatrics (AAP) 권장 방법✔️부모 침대에 같이 재우지 않기부모와 같은 침대에서 자는 아기들은 영아돌연사증후군, 질식 또는 목 졸림의 위험이 있어요.🚫 부모가 자는 도중 아기 위로 몸을 굴리거나 아기가 이불 사이로 엉킬 수 있어요.✔️엎드려 재우지 않기두상을 예쁘게 만들기 위해 이른 월령부터 옆으로 눕히거나 엎드려 재우는 엄빠들이 많은데요. 특히 엎드린 자세는 질식 돌연사의 가장 큰 원인이므로 호흡곤란이 생기지 않도록 반드시 바르게 눕혀주세요.🙅 특히 뒤집기를 시작하는 4~6개월은 더욱 신경 써주셔야 해요.✔️적당히 단단한 매트리스지나치게 푹신한 침구와 매트리스는 아이가 바닥에 코를 박아 질식할 위험이 있어요. 그러니 적당히 단단한 매트를 사용해주세요.🛌 또한 주변에 인형이나 쿠션 등 아기의 얼굴을 덮을 만한 물건은 미리 치워주세요.✔️얇은 이불을 여러 겹 덮어주기영아돌연사증후군은 특히 겨울에 많이 발현된다고 하는데요.❄️ 이는 추울까 덮어주는 두꺼운 이불 때문이라고 해요. 따라서 추운 겨울엔 얇은 이불을 여러 겹 덮어주세요.✔️쪽쪽이를 이용하기밤잠, 낮잠을 잘 때 쪽쪽이를 빨게 되면 입 주위와 목 근육을 쓰게 되면서 영아돌연사증후군을 줄여주는 데에 도움을 준다고 해요.🍼

우리 아기, 엎드려 재워도 되나요?

ล่าสุดรัฐบาลได้ออกมาแจ้งว่า แม้โควิดจะถูกลดระดับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ประชาชนก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด รวมถึงยังเตรียมทยอยฉีดให้กับเด็กทารกไปจนถึงเด็ก 4 ขวบอีกด้วย โดยเริ่มฉีดตุลาคม 2022<hr>อายุเท่าไหร่จึงสามารถฉีดได้?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3291/cedc56e5-39c9-427a-9a91-9c12ad61a569.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">หลังกระทรวงสาธารณสุขยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินและกำหนดให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีน💉ป้องกันโควิดนั้นยังเป็นสิ่งที่จำเป็นและจะยังคงดำเนินการตามแผนเดิม โดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป&nbsp;จะสามารถเข้ารับการฉีควัคซีนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายได้ตามสถานพยาบาล🏥ต่างๆ ไม่ว่าจะเคยฉีดหรือยังไม่เคยฉีดมาแล้วก็สามารถเข้าไปรับได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นและสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องซึ่งได้เตรียมวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี (รับ 1 เข็ม) ไว้ที่จำนวน 5 แสนโดส โดยวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีแดงเข้ม💉 ที่ใช้ฉีดให้กับเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปีนั้น จะได้รับมอบจากผู้ผลิตประมาณกลางเดือนตุลาคม และกระทรวงสาธารณสุขจะกระจายผ่านระบบสถานพยาบาลที่กำหนด รวมถึงจะมีการประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการฉีดให้ศูนย์เด็กเล็กโดยแพทย์👨&zwj;⚕️ (ข้อมูลจากสำนักข่าวคมชัดลึก)<hr>ทำไมจึงควรฉีด?<img src="https://cdn.billyapi.com/posts/3291/120353ea-e1c2-40b9-9607-79e94ab89fd9.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">กรมควบคุมโรคเผยว่าเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปีสามารถฉีดวัคซีนไฟเซอร์ฝาแดงพร้อมกับวัคซีนอื่นได้ในวันเดียวกัน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์👨&zwj;⚕️ ยังเสริมอีกว่าเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี ควรรับการฉีควัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันเนื่องจาก ที่ผ่านมาพบอัตราป่วยสูงถึง 1.5 และอัตราเสียชีวิตสูงถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับเด็กอายุ 5-9 ปี และโดยเฉพาะกับเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงหรือเสียชีวิต ดังนั้นเพื่อป้องกันจึงควรพาบุตรหลานเข้ารีบวัคซีน💉 ตามกำหนดต้องได้รับการฉีดอย่างไร?เด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปีนั้นถูกกำหนดให้ฉีควัคซีนโควิด19 ของไฟเซอร์ เป็นขนาด 0.2 ซีซี (3 ไมโครกรัม) โดยจะต้องรับจำนวนทั้งหมด 3 เข็ม โดยเข็มแรกและเข็มที่สองควรห่างกัน 1 เดือน และ เว้นอีก 2 เดือนเพื่อฉีดเข้มที่ 3 โดยหลังฉีดจะต้องสังเกตอาการ 30 นาที⏱️ และติดตามอาการจนครบ 1 เดือนผลข้างเคียงอันตรายไหม?นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเสริมว่าสำหรับผู้ปกครองที่มีข้อกังวลเรื่องผลข้างเคียง ทางด้านสหรัฐอเมริกามีการฉีดและติดตามไปแล้วล้านกว่าโดสและพบว่าเด็กเล็ก👶นั้นมีผลข้างเคียงน้อยกว่าเด็กโต และไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนเสียชีวิต จึงถือว่ามีความปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กนั่นเอง✅ (ข้อมูลจากสำนักข่าวไทยโพสต์)&nbsp;

เตรียมฉีดวัคซีนโควิดให้ทารก - 4 ขวบ!

임신을 계획 중에 있는 엄빠에게 배란일 체크✅는 굉장히 중요하죠. 생리가 규칙적인 엄마의 경우에는 배란일 계산이 쉽지만 불규칙한 경우에는 배란기 증상 혹은 배란테스트기를 통해 확인할 수 있어요. 배란기에 나타나는 여러 증상에 대해 알아보고 대표적 증상 중 하나인 배란통에 얽힌 궁금증을 해소해 볼게요!🔎<hr>배란기와 증상이 궁금해요!<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/956776bc-ac8e-477b-a3fb-2c767af01d48.webp" class="fr-fic fr-dib">생리통도 힘든데 배란통까지 있단말이야?ㅠ배란은 난소에서 성숙한 난자가 배출💨되는 현상을 말해요. 배란기에는 임신 가능성이 높기 때문에 임신을 준비하는 엄빠라면 배란기 체크는 필수예요! 배란일은 대체로 생리 예정일 2주 전을 말하고, 배란기는 배란일 기준 5일 전부터 배란일 기준 3일 후까지로 본답니다. 생리주기가 규칙적이지 않을 때 가장 정확하게 배란일을 확인하는 방법은 병원🏥에 방문해 보는 것일 테고요. 그렇지 않은 경우에는 아래와 같은 증상 혹은 배란테스트기를 통해 예측할 수 있어요.🧐🥵 통증이 느껴져요배란통은 난포가 터지고 난자가 배출되는 과정에서 난소에 혈액🩸이 고임으로 인해 통증이 느껴지는 것으로 가임기 여성 중 20%가 겪는 비교적 흔한 증상이라고 해요. 보통은 아랫배에 통증⚡을 느끼지만 사람에 따라 오른쪽 혹은 왼쪽 배가 아프기도 하고 가슴 통증을 동반하기도 해요.🥵 기초체온이 올라가요배란 후에는 프로게스테론 분비로 기초체온🌡️이 올라가요. 배란통을 느끼는 시기가 정확하지 않다면 기초체온 측정을 통해 배란일을 파악할 수 있어요. 수면에서 깬 직후 측정한 기초체온 기준 0.2~0.3℃ 상승하여 체온이 37℃ 전후로 나타나는지 체크해 보세요.🥵 몸에 변화가 나타나요배란일 즈음에는 에스트로겐 분비가 많아지며 맑은 콧물과 같은 질 분비물이 나타나요. 이 밖에도 가슴이 커지거나, 유두가 민감해지거나, 식욕이 증가하거나, 약한 몸살 기운😳을 느낄 수 있어요.<hr>생리통, 배란통, 착상통 어떻게 다르죠?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/bc0aec78-8ab8-4e68-a7cf-c9d29920e8a3.webp" class="fr-fic fr-dib">비슷한 듯 서로 다른 우리!사람마다 통증의 정도는 다를 수 있으나 아픈 증상이 비슷해서 서로 혼동🤔할 수 있어요. 하지만 증상 발생 시기를 비교한다면 어느 정도 구별이 가능해요. 생리통은 생리 예정일 즈음에 나타나지만, 배란통은 생리 예정일 14일 전후로 나타나고, 착상통은 수정 후 7일에서 10일 사이에 나타나요. 하지만 생리통, 배란통, 착상통을 모든 여성이 경험하는 것은 아니기 때문에 통증이 심하게 느껴진다면 병원 진료를 받아보시길 권장해요.🙌🏻&nbsp;<hr>배란통을 느꼈을 때 임신 가능성, 높을까요?<img src="https://cdn.billyapi.com/new/froala/posts/f4e30c9f-1f44-49c0-a52e-cd4af40dd2ee.webp" class="fr-fic fr-dib">오~ 정말 그래요?평소보다는 임신 확률이 높다🔺고 볼 수 있지만 임신이 반드시 된다고 확신할 수는 없어요. 배란 후 난자의 수명은 12시간에서 최대 24시간이고, 사정된 정자가 나팔관에서 생존하는 시간은 48시간에서 72시간 사이이니 이를 고려하여 관계를 갖는다면 임신 확률을 높일 수 있을 거예요. 하지만 배란통이 심한 경우 자궁근종, 자궁내막증, 골반염, 방광염 등을 의심해 볼 수 있으니 병원을 방문하여 진료🩺 받아보시길 권장해요. <a href="https://billyapplication.page.link/?link=https://billyapplication.page.link/community&apn=kr.villagebaby.billyapplication&isi=1497301126&ibi=kr.villagebaby.billyapplication&ofl=https://babybilly.app"></a>

배란통 있을 때 임신 가능성이 높을까?

&nbsp; &nbsp; &nbsp;หลังจากการผ่าตัดคลอด หรือ C-section คุณแม่มือใหม่จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการฟื้นตัวและความเป็นอยู่โดยรวม อาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระบวนการบำบัด ให้พลังงาน และสนับสนุนการผลิตน้ำนมแม่ค่ะ💁‍♀️<hr>อาหารที่สามารถช่วยในการฟื้นตัวอย่างมีสุขภาพดีหลังการผ่าตัดคลอดน้ำเปล่า&nbsp;การได้รับน้ำ💧อย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฟื้นตัวหลังคลอด การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก ส่งเสริมการรักษา และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม ตั้งเป้าที่จะดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วทุกวัน และพิจารณานำชาสมุนไพร น้ำมะพร้าว🥥 และน้ำผลไม้สดมาใช้ในกิจวัตรประจำวันของคุณแม่ค่ะอาหารที่มีเส้นใยสูง&nbsp;อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบบ่อยหลังการผ่าตัดคลอด โดยมีสาเหตุหลักมาจากการใช้ยาและการเคลื่อนไหวลดลง การรวมอาหารที่มีเส้นใยสูงไว้ในอาหารของคุณสามารถช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ เลือกใช้ธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผัก พืชตระกูลถั่ว🥜 และถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งมีใยอาหารสูง อาหารเหล่านี้ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นประจำและส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารค่ะโปรตีนไร้มัน&nbsp;โปรตีนเป็นส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาหลังการผ่าตัด รวมแหล่งโปรตีนไร้ไขมัน เช่น สัตว์ปีก🐔 ปลา ไข่ พืชตระกูลถั่ว และเต้าหู้ ไว้ในมื้ออาหารของคุณแม่ อาหารเหล่านี้ให้กรดอะมิโนที่จำเป็น ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อค่ะ💪กรดไขมันโอเมก้า 3&nbsp;ขึ้นชื่อในด้านคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยลดการอักเสบหลังการผ่าตัดและส่งเสริมการรักษา รวมปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน🍣 ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนไว้ในอาหารของคุณ รวมถึงแหล่งโอเมก้า 3 จากพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ และวอลนัทค่ะ🌰อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม&nbsp;แคลเซียมมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพกระดูก🦴 โดยเฉพาะหลังการผ่าตัดคลอด รวมผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม🥛 โยเกิร์ต และชีสเข้าไปในอาหารของคุณ หากคุณแพ้แลคโตสหรือรับประทานอาหารที่มีพืชเป็นส่วนประกอบหลัก ให้พิจารณาทางเลือกอื่นที่เสริมแคลเซียม เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง และผักใบเขียว เช่น ผักคะน้าและบรอกโคลีค่ะ🥦อาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก&nbsp;ธาตุเหล็กจำเป็นต่อการเติมเต็มการสูญเสียเลือด🩸ระหว่างการผ่าคลอดและป้องกันโรคโลหิตจางหลังคลอด รวมอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เช่น เนื้อแดงไม่ติดมัน สัตว์ปีก ซีเรียลเสริม ผักโขม ถั่วเลนทิล และผลไม้แห้งในอาหารของคุณ การจับคู่อาหารเหล่านี้กับแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้รสเปรี้ยวจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ค่ะวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ&nbsp;วิตามินซีขึ้นชื่อในด้านคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันและการผลิตคอลลาเจน ซึ่งช่วยในการรักษาบาดแผล ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว🍓 เบอร์รี่ พริกหยวก และผักใบเขียวในปริมาณที่เพียงพอ อาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี่ ดาร์กช็อกโกแลต🍫 และชาเขียวยังช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมอีกด้วยค่ะ<hr>อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหลังผ่าตัดคลอดมีอาหารบางอย่างที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงหรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะหลังคลอดลูก&nbsp;ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ซึ่งรวมถึงอาหารแปรรูป ของว่างที่มีน้ำตาล คาเฟอีน☕️ และแอลกอฮอล์ รายการเหล่านี้สามารถขัดขวางกระบวนการเยียวยาและอาจส่งผลเสียต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ&nbsp; &nbsp; &nbsp;อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณแม่ เพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคล หากคุณแม่มีอาการแพ้หรือข้อกังวลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์👨‍⚕️หรือนักโภชนาการจะดีที่สุดค่ะ และควรหลีกเลี่ยงการบริโภคปลาหมักหรืออาหารที่อาจมีความเสี่ยงอื่นๆ จนกว่าผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจะให้ไฟเขียวแก่คุณแม่นะคะ โปรดจำไว้ว่า แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือนักโภชนาการที่ลงทะเบียนเพื่อการปรับเปลี่ยนเฉพาะบุคคล คำแนะนำตามความต้องการเฉพาะและประวัติทางการแพทย์ของคุณแม่นะคะ

อาหารสำหรับคุณแม่หลังผ่าคลอด ทานแบบนี้แผลหายไว! 

หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินมาว่าหากสอนลูกพูดสองภาษาอาจทำให้ลูกพูดช้ากว่าการสอนพูดภาษาเดียว ซึ่งในเรื่องนี้นั้นมีความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนเราไปดูกันเลยค่ะ&nbsp;<hr>สาเหตุที่ทำให้ลูกพูดได้ช้า? สอนสองภาษาทำให้พูดช้าลงจริงไหม?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2789/8bfdced5-247d-478c-ad0e-4ac3357de113.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">เด็กพูดได้ช้าเกิดจากอะไร?เด็กที่พูดได้ช้า👶 คือเด็กที่มีพัฒนาการด้านการพูดที่ช้ากว่าเด็กทั่วไปที่มีอายุเท่ากัน ซึ่งการที่เด็กพูดได้ช้านั้นอาจมีสาเหตุเพราะ ลูกสูญเสียการได้ยิน👂 หรือ มีการรับรู้ที่ผิดปกติ หรือ มีสติปัญญาผิดปกติ แต่การที่สอนลูกพูดสองภาษานั้นไม่ได้เป็นต้นเหตุให้มีการพูดที่ช้าลงแต่อย่างใดสมองเด็กเหมือนฟองน้ำ🧽ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายๆคนกลัวว่าลูกจะสับสนและพูดช้าหากสอนสองภาษาพร้อมๆกัน แต่เด็กก็เหมือนฟองน้ำ สมองของเด็กจะซึมซัมความรู้ทุกอย่างได้ไวมากดังนั้นแม้ว่าจะสอนลูกสองภาษาพร้อมๆกัน ก็จะสามารถพูดไวได้เท่ากับการสอนพูดภาษา🔤เดียวอย่างไม่มีปัญหาค่ะ&nbsp;<hr>วิธีสอนลูกพูดสองภาษา<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2789/eb2a9466-ea47-4397-b9d3-259f43f03b0d.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">หลักการในการสอนลูกพูดสองภาษาเมื่อทราบแล้วว่าการสอนลูกสองภาษา🔤พร้อมๆกันไม่ได้ทำให้ลูกพูดช้าลง แล้วหากอยากจะสอนลูกสองภาษาพร้อมกันล่ะ จะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่สำคัญในการสอนคือควรมีหลักในการสอนและควรสอนอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามพูดทั้งสองภาษาเรื่อยๆ💭 แล้วลูกจะทำความคุ้นเคยกับเสียงและความหมายของคำของแต่ละภาษาที่แตกต่างกัน ที่สำคัญคือจะต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกได้เรียนรู้และสามารถพูดทั้งสองภาษาได้ในที่สุด&nbsp;ประโยชน์ของการสอนสองภาษาประโยชน์ของการสอนลูกสองภาษา🔤ในครั้งเดียวกันคือ สมองของลูกจะได้รับการกระตุ้นให้เรียนรู้ได้มากขึ้นและดีขึ้น ลูกจะเข้าใจเรื่องอื่นๆที่เรียนได้มากขึ้นเมื่อลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนค่ะ🏫 &nbsp;ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ เพราะการสอนลูกสองภาษานอกจากจะไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกพูดช้าลงแล้ว ลูกยังพูดได้หลายภาษาและยังเป็นการกระตุ้นสมองของน้องให้ทำงานเรียนรู้ได้ดีอีกด้วยค่ะ&nbsp;

สอนลูกพูดสองภาษาพร้อมกันทำให้ลูกพูดช้าลงจริงหรือ?

เมื่อลูกมีอายุประมาณ 2 ขวบ ลูกจะเริ่มมีพฤติกรรมการลอกเลียนแบบพ่อแม่ ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ตัวมากที่สุด แต่การเลียนแบบนั้นอาจเลียนแบบทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีด้วย ดังนั้นเมื่ออยู่กับลูก คุณพ่อคุณแม่ควรระวังคำพูดและการกระทำนะคะ&nbsp;<hr>ควรระมัดระวังไหม?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2466/56207934-d8a3-4d16-beb1-8b299305923e.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ลูกยังเล็กเกินไปเกินกว่าจะเข้าใจหรือเปล่า?หลายๆท่านอาจกำลังคิดว่าลูกยังเด็กอยู่เลยคงยังไม่เข้าใจคำพูดหรือการกระทำต่างๆได้หรอก แต่ความจริงแล้วแม้ว่าลูก👶อาจจะยังไม่เข้าใจความหมายทั้งหมดแต่ก็อาจนำไปลอกเลียนแบบได้ ดังนั้นคุณพ่อ👨คุณแม่👩ควรระวังตั้งแต่ลูกยังเล็กค่ะ และนอกจากลอกเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่แล้ว ลูกยังสนุกที่จะลอกเลียนแบบเพื่อนในวัยเดียวกัน หรือคนรอบข้าง ทำให้บางครั้งลูกอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถทราบได้ว่าเกิดจากอะไร แต่จริงๆแล้วเกิดอาจการที่ลูกเลียนแบบพฤติกรรมนั่นเองค่ะอธิบายให้ลูกฟังดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกเข้าใจว่าสิ่งไหนควรทำหรือสิ่งไหนไม่ควรทำ โดยไม่ควรใช้การด่าทอหรือตี แต่ควรใช้เหตุผลอธิบายให้ลูกฟัง เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่ลูกเลียนแบบนั้น ลูกยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง เพียงแค่ทำตามสิ่งที่เห็นหรือได้ยินมาเท่านั้น นอกจากนั้นลูกอาจทำตามสิ่งที่เห็นในการ์ตูนหรือทีวีได้📺 โดยคิดว่าเมื่อคนอื่นทำได้ ตัวเองก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อยากให้คนรอบข้างยอมรับนั่นเองค่ะ<hr>ความอันตรายของพฤติกรรมเลียนแบบ<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2466/50e1be47-dabd-4fa2-be7f-083fcdd0086b.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ระมัดระวังพฤติกรรมของตนเองซึ่งการมีพฤติกรรมเลียนแบบของลูกนั่นอาจอันตรายหากไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง เพราะลูกจะไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ และที่สำคัญเลยคือคุณพ่อคุณแม่เป็นแบบอย่างที่ใกล้ตัวลูก👶มากที่สุด หากมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่🚬หรือกินเหล้าให้ลูกเห็นบ่อยๆ เมื่อลูกโตขึ้น ลูกก็อาจมีพฤติกรรมเหล่านั้นค่ะ&nbsp;อันตรายถึงชีวิตพฤติกรรมการเลียนแบบของเด็กอาจอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น การลอกเลียนแบบหนัง โดยการใช้มีด🔪จริงต่อสู้กัน หรือการปล้นเงินทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เด็กและไม่ควรให้ลูกดูหนังที่มีความรุนแรงเมื่อยังเล็ก<hr>รับมืออย่างไร?<img src="https://s3.ap-northeast-2.amazonaws.com/images.villagebaby.kr/posts/2466/bfe698af-98e9-417e-94ee-6517b680bd3a.gif" class="fr-fic fr-dib" style="width: 100%;">ใกล้ชิดลูกในทุกๆวัยสิ่งที่ต้องคำนึกเป็นอันดับแรกคือผู้ปกครองจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดลูกๆ👶👶 ในทุกช่วงวัย แม้ในแต่ละช่วงวัยก็อาจมีการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปโดยเมื่อลูกยังเล็ก ลูกก็จะต้องการความรัก💖จากพ่อแม่มากๆ พอเริ่มโตก็จะมีความคิดของตัวเองและอยากทำอะไรด้วยตนเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็อาจพูดคุยถึงปัญหา และอธิบายแทน โดยไม่ควรไปควบคุมมากจนเกินไปเพราะจะทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดนั่นเองค่ะ

หนูกำลังเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่!

낮이랑 밤을 구분시켜줘야한다구
낮에는 밝게 밤에는 어둡게 재워야한다고 봤는데 아기가 낮에 20분,30분밖에 안자고 깨더라구요ㅠㅠ
그래서 하루에 총 낮잠을 2시간 자요...
어둡게해서 재우라고 하시는 분들도 있는데 낮잠 밤잠 구분 안시켜줘도 되나요...?????

Search results related to

Newborn and sleep basics

Rh Factor testing

Anaemia screening

When Your Toddler's Memory Wanders

Mastitis while breastfeeding

The Quad Screen

Nipple vasospasms and nipple blanching while breastfeeding

Mood swings during pregnancy

Lip-tie in newborns

Screening for Maternal Depression